หญ้าฝรั่น มีชื่อ ภาษาอังกฤษว่า Saffron,True Saffron ,Spanish Saffron, Crocus ( ไม่มีชื่อพื้นเมือง เนื่องจากเป็น พืชสมุนไพรต่างประเทศ)
ชื่อวิทยาศาสตร์; Crocus sativus Linn. (วงศ์ Iridaceae)
หญ้าฝรั่นเป็นพืชที่มีราคาแพงมาก จากหญ้าฝรั่น 1 แสนดอก จะได้หญ้าฝรั่นแห้ง(ปลายเกสรตัวเมียแห้ง) ประมาณ 1 กิโลกรัมเท่านั้น หญ้าฝรั่นจัดเป็นพืชล้มลุกมีหัวใต้ดิน มีอายุหลายปี ใบแคบยาว ช่อดอกจะแทงขึ้นมาจากหัว ออกดอกในฤดูใบไม้ร่วง เก็บเมื่อดอกเริ่มบาน โดยแยกเอาส่วนที่มีเกสรตัวเมียสีแดงเข้มออกจากส่วนอื่นๆ โดยใช้มือเด็ด นำมาย่างบนเตาถ่านเพื่อให้น้ำมันระเหยออก พืชชนิดนี้ไม่มีปลูกในประเทศไทย ประเทศที่ปลูกขายคือ สเปน ฝรั่งเศส ตุรกี เยอรมัน อิหร่าน และ อินเดีย
ใช้เป็นเครื่องเทศที่ใช้แต่งสีและแต่งกลิ่น สมัยโบราณ ใช้แต่งสีเครื่องดื่มและเหล้า ลูกกวาด ขนมหวาน รวมทั้งกลิ่นเครื่องหอมและน้ำอบ
หญ้าฝรั่นหญ้าฝรั่น-Saffron หนึ่งดอกได้เกสร 4-5 อัน
สารเคมีในหญ้าฝรั่น : crocin 2% picrocrocin 2% riboflavin ,destrose และน้ำมันหอมระเหย
ประโชยน์ทางยา: ใช้เป็นยาขับเหงื่อ ขับระดู ขับเสมหะ
เนื่องจากหญ้าฝรั่นมีราคาแพงมาก มักเลือกดอกคำฝอยเป็นซึ่งมีลักษณะคล้ายหญ้าฝรั่นแต่ให้สีแดงที่อ่อนกว่าในการแต่งสีแทน และมีสรรพคุณทางยาเช่นเดียวกัน
หญ้าฝรั่น-Saffron เครื่องเทศราคาแพงที่สุดในโลกหญ้าฝรั่น-Saffron -ไม้ล้มลุกแพงสะท้านโลก
หญ้าฝรั่น (Saffron) เครื่องเทศที่มีราคาแพงที่สุดในโลก เป็นพืชที่มีการใช้ตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันโบราณ นิยมใช้ทั้งเพื่อย้อมผ้า เพื่อเป็นยา และใช้ในการครัว แ แหล่งผลิตหญ้าฝรั่นที่มีคุณภาพดีเลิศ คือ ประเทศอิหร่าน หญ้าฝรั่งเป็นเครื่องเทศที่ให้กลิ่นหอมและกลิ่นติดนาน ในการทำอาหารแต่ละครั้งไม่ต้องใช้มาก เพราะถ้าใช้มากก็จะฉุน (และแพง) ก่อนใช้ต้องแช่น้ำอุ่นก่อนสักพักเพื่อให้สีของหญ้าฝรั่นออกมา และนิยมใส่ในขั้นตอนสุดท้ายของการปรุง ด้วยความที่มันมีราคาสูง จึงนิยมใช้ในอาหารในโอกาสพิเศษ ๆ เพื่อการเฉลิมฉลอง ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน (เช่น พวกคัสตาร์ด เค้ก และ พุดดิ้ง) แต่ที่พบบ่อย ๆ ก็จะเป็นส่วนประกอบในการหุงข้าวพิเศษ ๆ เช่น ข้าว Pilaus ของอินเดีย หรือข้าวไปเอญ่า (Paella) ของสเปน หรือ ข้าว Risotto Milanese ของครัวอิตาเลียน สำหรับครัวฝรั่งเศสเองก็มีการใช้หญ้าฝรั่นเป็นส่วนผสมสำคัญในการทำ บุยยาแบส (Bouillabaisse) หรือซุปทะเลรวมมิตรแบบฝรั่งเศส
หญ้าฝรั่น-Saffron-ต้องใช้คนเก็บเท่านั้นหญ้าฝรั่น-Saffron-ปลูกกันในอินเดียทางตอนเหนือ อิหร่าน
หญ้าฝรั่น ภาษาอังกฤษเรียก saffron เป็นชื่อสมุนไพรได้จากพันธุ์ไม้ Crocus sativus วงศ์ lridaceae เป็นพืชประเภทหัว ดอกสีม่วง ขึ้นในเมืองร้อน หญ้าฝรั่นได้มาจากเกสรตัวเมียของดอกไม้ชนิดนี้ โดย ๑ ดอกจะมีเกสรเพียง ๓ เส้นเท่านั้นกว่าจะได้หญ้าฝรั่นสักหนึ่งกำมือจึงเสียเวลามาก นอกจากนั้นการเก็บเกสรต้องรีบเก็บในวันเดียวเพราะดอกจะโรยหมด และต้องรีบนำมาคั่วแห้งทันที การได้มาซึ่งหญ้าฝรั่นต้องใช้แรงคนใช้เครื่องจักรช่วยไม่ได้ ประกอบกับต้องทำให้เสร็จในวันเดียวและต้นไม้ชนิดนี้ขึ้นเฉพาะพื้นที่ลาดเขาในไม่กี่แห่งทั่วโลก เท่าที่ทราบคือมีมากที่อินเดียและสเปน ด้วยเหตุนี้หญ้าฝรั่นจึงแพงมาก
หญ้าฝรั่นมีสีเหลืองอมแดง รสเผ็ดขมอมหวานและหอมโบราณใช้ทำยาหอม ยาชูกำลัง แก้ไข้ แก้สวิงสวาย บำรุงธาตุแก้ซางเด็ก เป็นยาบำรุงโลหิตและแก้เส้นกระตุก นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่ามีสรรพคุณทำให้ผิวเปล่งปลั่ง อายุยืน แค่ฟังสรรพคุณก็เชื่อว่าหญ้าชนิดนี้แพงแน่
หญ้าฝรั่น-Saffron หนึ่งดอกจะมีเพียง 3 เกสรเท่านั้นที่นำมาใช้เกสรหญ้าฝรั่น-Saffron
การเพาะปลูก
เจริญเติบโตในชีวนิเวศแบบทุ่งไม้พุ่มทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทุ่งไม้พุ่มหรือทุ่งไม้พุ่มแคระอเมริกาเหนือ และสถานที่ภูมิอากาศร้อน กึ่งแห้งแล้งมีลมโชย กระนั้นก็สามารถอยู่รอดในฤดูหนาวที่หนาวเย็นได้โดยสามารถทนความเย็นได้ถึง −10 °C (14 °F) และถูกหิมะปกคลุมในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องมีการชลประทานถ้าไม่ได้เพาะปลูกในบริเวณที่สิ่งแวดล้อมมีความชื้น เช่น รัฐแคชเมียร์ที่ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปี 1,000–1,500 มม. (39–59 นิ้ว) พื้นที่เพาะปลูกหญ้าฝรั่นในประเทศกรีก (500 มม.หรือ 20 นิ้วต่อปี) และสเปน (400 มม.หรือ 16 นิ้ว) แต่ก็ยังห่างไกลนักเมื่อเทียบกับพื้นที่เพาะปลูกในประเทศอิหร่าน เวลาเป็นหัวใจหลักที่สำคัญ ฝนที่เหลือเฟือในฤดูใบไม้ผลิและอากาศแห้งในฤดูร้อนนั้นเหมาะสมที่สุด ฝนที่ตกก่อนหน้าจะช่วยเพิ่มผลผลิตให้หญ้าฝรั่นออกดอกมากขึ้น ฝนตกหรืออากาศหนาวระหว่างช่วงการออกดอกจะทำให้ผลผลิตลดต่ำลง สภาวะร้อนและชื้นติดต่อกันจะสร้างความเสียหายให้กับพืช เช่นเดียวกับการขุดดินที่เกิดจากกระต่าย หนู และนก นีมาโทดา โรคใบสนิม และโรคหัวเน่า เป็นภัยคุกคามการเพาะปลูกหญ้าฝรั่นเช่นกัน
ดอกแสนสวยของหญ้าฝรั่น-Saffron
หญ้าฝรั่นที่ปลูกเลี้ยง (C. sativus) เป็นพืชดอกฤดูใบไม้ร่วงอายุหลายปีไม่พบในธรรมชาติ เป็นรูปแบบหนึ่งของพืชดอกฤดูใบไม้ร่วงทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Crocus cartwrightianus) ที่เป็นหมัน ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเอเชียกลาง หญ้าฝรั่นเป็นผลของ C. cartwrightianus เมื่อถูกการคัดเลือกพันธุ์โดยมนุษย์โดยเกษตรกรเพื่อให้ได้ยอดเกสรเพศเมียที่ยาวขึ้น จากการที่เป็นหมัน ชนิดดอกสีม่วงชนิดนี้จึงไม่สามารถสร้างผลิตที่สามารถเจริญต่อไปได้ การสืบพันธุ์จึงเกิดขึ้นจากการช่วยเหลือของมนุษย์ หัวใต้ดินที่มีรูปร่างคล้ายกับหัวหอม เป็นอวัยวะที่สะสมกักตุนแป้ง จะถูกขุดขึ้นจากดิน แยกออกจากกัน และนำไปเพาะปลูกอีกครั้ง หัวหญ้าฝรั่นที่มีชีวิตอยู่มาหนึ่งฤดูจะสร้างและแบ่งออกได้มาถึง 10 หัวย่อยที่สามารถนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ได้ หัวเป็นเมล็ดกลมสีน้ำตาลมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 4.5 ซม. และห่อด้วยเส้นใยขนานกันหนา
หลังการเรียงกลีบในฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้จะแทงใบสีเขียวแคบขึ้นมาในแนวเกือบตั้งฉาก 5-11 ใบ แต่ละใบยาวถึง 40 ซม. ในฤดูใบไม้ร่วงจะเริ่มแทงตาสีม่วงขึ้นมา ในเดือนตุลาคม หลังไม้ดอกชนิดอื่นส่วนมากออกเมล็ดแล้ว พืชจะออกดอกเป็นกระจุกสีม่วงอ่อนเหมือนแรเงาด้วยดินสอสีถึงม่วงเข้มที่มีริ้วสีม่วงซีด ลักษณะดอกมีรูปร่างคล้ายดอกบัว กลีบดอกเรียวยาวคล้ายรูปไข่ เมื่อมีดอก หญ้าฝรั่นมีความสูงเฉลี่ยน้อยกว่า 30 ซม. มียอดเกสรเพศเมียสีแดงสดยื่นออกมายาวโผล่พ้นเหนือดอกมีลักษณะเป็นง่ามสามง่าม ยาว 25-30 มม.
หญ้าฝรั่นเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในเมื่อได้รับแสงแดดจัด การปลูกเลี้ยงกระทำได้ดีในพื้นราบที่เอียงเข้าหาแสงแดด (นั่นคือ เอียงไปทางทิศใต้ในซีกโลกเหนือ) เพื่อให้ได้รับแสงมากที่สุด การเพาะปลูกมักกระทำในเดือนมิถุนายนในซีกโลกเหนือ หัวหญ้าฝรั่นจะถูกฝังลงไปในดินลึก 7-15 ซม. (2.8–5.9 นิ้ว) ทั้งนี้ความลึกและระยะห่างของการฝังหัวหญ้าฝรั่นขึ้นกับภูมิอากาศซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อผลผลิต การปลูกด้วยหัวแม่พันธุ์จะให้ผลิตผลหญ้าฝรั่นที่มีคุณภาพสูงกว่าแม้ว่าจะแทงตาดอกและให้หัวลูกน้อยกว่า เพื่อให้ได้หญ้าฝรั่นที่คล้ายเส้นด้าย เกษตรกรชาวอิตาลีจะปลูกโดยการฝังหัวลึก 15 ซม.(5.9 นิ้ว) แต่ละแถวห่างกัน 2–3 ซม. การสร้างหัวและดอกที่เหมาะสมที่สุดคือ 8–10 ซม. เกษตรกรชาวกรีก โมร็อกโก และสเปนมีการวางแผนปลูกด้านความลึกและระยะห่างที่ต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ตามความเหมาะสม
C. sativus ชอบดินร่วนซุย ไม่จับตัวแน่น น้ำไหลผ่านและอุ้มน้ำได้ดี และดินเป็นดินเหนียวปนหินปูนที่มีสารอินทรีย์สูง การยกร่องช่วยให้สามารถระบายน้ำได้ดี การใส่ปุ๋ยคอก 20–30 ตันต่อเฮกตาร์จะช่วยเพิ่มสารอินทรีย์ให้แก่ดินได้ หลังจากนั้นจะทำการปลูกหัวหญ้าฝรั่นลงไป หลังจากพักตัวตลอดฤดูร้อน หัวหญ้าฝรั่นจะแทงใบแคบสีเขียวขึ้นมาและเริ่มมีตาดอกในต้นฤดูใบไม้ร่วง ดอกจะบานช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง การเก็บเกี่ยวจำเป็นต้องกระทำอย่างรวดเร็วเพราะหลังจากที่ดอกบานในตอนเช้า ดอกจะเหี่ยวอย่างรวดเร็วหลังผ่านไปหนึ่งวัน ดอกของหญ้าฝรั่นจะบานพร้อมกันในช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์ ดอกหญ้าฝรั่น 150 ดอกจะได้ผลผลิตหญ้าฝรั่นแห้ง 1 กรัม (0.035 ออนซ์) ถ้าต้องการหญ้าฝรั่นแห้ง 12 กรัม (ผลผลิตหญ้าฝรั่นสด 72 กรัม) ต้องใช้ดอก 1 กก. (1 ปอนด์สำหรับผลผลิตหญ้าฝรั่นแห้ง 0.2 ออนซ์) ดอกหนึ่งดอกจะมีผลผลิตหญ้าฝรั่นสดเฉลี่ย 30 มิลลิกรัม (0.46 กรัม) หรือหญ้าฝรั่นแห้ง 7 มิลลิกรัม (0.11 กรัม)
ในตำราแพทย์แผนโบราณของจีน สมัยยุคศตวรรษที่ 16 นั้นก็ยังมีกล่าวถึงหญ้าฝรั่นโดยแพทย์จีนเรียกหญ้าฝรั่นนี้ว่า ซีหงฮวา ซึ่งแปลว่า ดอกไม้สีแดงจากตะวันตก ส่วนชาวอาหรับและพวกแขกมัวร์ในประเทศสเปนก็รู้จักการปลูกหญ้าฝรั่นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1504 และยังมีการกล่าวไว้ในตำราทางการแพทย์ของอังกฤษ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 10 (พ.ศ. 1444- 1543) แต่อาจสูญหายไปจากยุโรป กระทั่งพวกครูเสดนำเข้าไปอีกครั้ง ในช่วงสมัยต่างๆ หญ้าฝรั่นมีค่ามากกว่าทองคำเมื่อเทียบน้ำหนักกัน และยังคงเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงที่สุดในโลกจนปัจจุบัน
สมุนไพรหญ้าฝรั่น-Saffron
ส่วนตำราการแพทย์แผนโบราณของไทยนั้น หญ้าฝรั่นถือได้ว่าเป็นของที่สูงค่ามีราคาแพงมาก จัดเป็นตัวยาที่ช่วยในการแก้ลมวิงเวียน บำรุงหัวใจ เป็นตัวยาหลักที่ใช้ในตำรับยาหอมต่างๆ และยังใช้บดเป็นผงให้ละเอียดแล้วละลายในน้ำต้มสุกที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วกินเป็นน้ำกระสายยาคู่กับการกินยาตำรับต่างๆอีกด้วย
ปัจจุบันนี้มีการปลูกหญ้าฝรั่นกันมากในสเปน ฝรั่งเศส ซิซิลี อิตาลี อิหร่าน และแคชเมียร์ จะมีการเก็บเกสรตัวเมียดอกละสามอัน นำไปวางแผ่ไว้ในถาด ย่างไฟที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง นำมาแต่งรสชาติและกลิ่นของอาหาร หญ้าฝรั่นแห้งที่ได้ 1 กิโลกรัม เท่ากับผลผลิต 120,000 - 160,000ดอก ดังนั้นจึงต้องเก็บเกสรตัวเมียจากดอกของหญ้าฝรั่นด้วยมือจำนวนมากถึงจะได้ปริมาณตามที่ต้องการ ทำให้หญ้าฝรั่นจัดเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงที่สุดในโลกโดยน้ำหนักในบรรดาเครื่องเทศทั้งหลาย