วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หญ้าฝรั่น (Saffron)




หญ้าฝรั่น มีชื่อ ภาษาอังกฤษว่า Saffron,True Saffron ,Spanish Saffron, Crocus ( ไม่มีชื่อพื้นเมือง เนื่องจากเป็น พืชสมุนไพรต่างประเทศ)
ชื่อวิทยาศาสตร์; Crocus sativus Linn. (วงศ์ Iridaceae)
หญ้าฝรั่นเป็นพืชที่มีราคาแพงมาก จากหญ้าฝรั่น 1 แสนดอก จะได้หญ้าฝรั่นแห้ง(ปลายเกสรตัวเมียแห้ง) ประมาณ 1 กิโลกรัมเท่านั้น หญ้าฝรั่นจัดเป็นพืชล้มลุกมีหัวใต้ดิน มีอายุหลายปี ใบแคบยาว ช่อดอกจะแทงขึ้นมาจากหัว ออกดอกในฤดูใบไม้ร่วง เก็บเมื่อดอกเริ่มบาน โดยแยกเอาส่วนที่มีเกสรตัวเมียสีแดงเข้มออกจากส่วนอื่นๆ โดยใช้มือเด็ด นำมาย่างบนเตาถ่านเพื่อให้น้ำมันระเหยออก พืชชนิดนี้ไม่มีปลูกในประเทศไทย ประเทศที่ปลูกขายคือ สเปน ฝรั่งเศส ตุรกี เยอรมัน อิหร่าน และ อินเดีย
ใช้เป็นเครื่องเทศที่ใช้แต่งสีและแต่งกลิ่น สมัยโบราณ ใช้แต่งสีเครื่องดื่มและเหล้า ลูกกวาด ขนมหวาน รวมทั้งกลิ่นเครื่องหอมและน้ำอบ


หญ้าฝรั่นหญ้าฝรั่น-Saffron หนึ่งดอกได้เกสร 4-5 อัน

สารเคมีในหญ้าฝรั่น : crocin 2% picrocrocin 2% riboflavin ,destrose และน้ำมันหอมระเหย
ประโชยน์ทางยา: ใช้เป็นยาขับเหงื่อ ขับระดู ขับเสมหะ
เนื่องจากหญ้าฝรั่นมีราคาแพงมาก มักเลือกดอกคำฝอยเป็นซึ่งมีลักษณะคล้ายหญ้าฝรั่นแต่ให้สีแดงที่อ่อนกว่าในการแต่งสีแทน และมีสรรพคุณทางยาเช่นเดียวกัน



หญ้าฝรั่น-Saffron เครื่องเทศราคาแพงที่สุดในโลกหญ้าฝรั่น-Saffron -ไม้ล้มลุกแพงสะท้านโลก

      หญ้าฝรั่น (Saffron) เครื่องเทศที่มีราคาแพงที่สุดในโลก เป็นพืชที่มีการใช้ตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันโบราณ นิยมใช้ทั้งเพื่อย้อมผ้า เพื่อเป็นยา และใช้ในการครัว แ แหล่งผลิตหญ้าฝรั่นที่มีคุณภาพดีเลิศ คือ ประเทศอิหร่าน หญ้าฝรั่งเป็นเครื่องเทศที่ให้กลิ่นหอมและกลิ่นติดนาน ในการทำอาหารแต่ละครั้งไม่ต้องใช้มาก เพราะถ้าใช้มากก็จะฉุน (และแพง) ก่อนใช้ต้องแช่น้ำอุ่นก่อนสักพักเพื่อให้สีของหญ้าฝรั่นออกมา และนิยมใส่ในขั้นตอนสุดท้ายของการปรุง ด้วยความที่มันมีราคาสูง จึงนิยมใช้ในอาหารในโอกาสพิเศษ ๆ เพื่อการเฉลิมฉลอง ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน (เช่น พวกคัสตาร์ด เค้ก และ พุดดิ้ง) แต่ที่พบบ่อย ๆ ก็จะเป็นส่วนประกอบในการหุงข้าวพิเศษ ๆ เช่น ข้าว Pilaus ของอินเดีย หรือข้าวไปเอญ่า (Paella) ของสเปน หรือ ข้าว Risotto Milanese ของครัวอิตาเลียน สำหรับครัวฝรั่งเศสเองก็มีการใช้หญ้าฝรั่นเป็นส่วนผสมสำคัญในการทำ บุยยาแบส (Bouillabaisse) หรือซุปทะเลรวมมิตรแบบฝรั่งเศส





หญ้าฝรั่น-Saffron-ต้องใช้คนเก็บเท่านั้นหญ้าฝรั่น-Saffron-ปลูกกันในอินเดียทางตอนเหนือ อิหร่าน

      หญ้าฝรั่น ภาษาอังกฤษเรียก saffron เป็นชื่อสมุนไพรได้จากพันธุ์ไม้ Crocus sativus วงศ์ lridaceae เป็นพืชประเภทหัว ดอกสีม่วง ขึ้นในเมืองร้อน หญ้าฝรั่นได้มาจากเกสรตัวเมียของดอกไม้ชนิดนี้ โดย ๑ ดอกจะมีเกสรเพียง ๓ เส้นเท่านั้นกว่าจะได้หญ้าฝรั่นสักหนึ่งกำมือจึงเสียเวลามาก นอกจากนั้นการเก็บเกสรต้องรีบเก็บในวันเดียวเพราะดอกจะโรยหมด และต้องรีบนำมาคั่วแห้งทันที การได้มาซึ่งหญ้าฝรั่นต้องใช้แรงคนใช้เครื่องจักรช่วยไม่ได้ ประกอบกับต้องทำให้เสร็จในวันเดียวและต้นไม้ชนิดนี้ขึ้นเฉพาะพื้นที่ลาดเขาในไม่กี่แห่งทั่วโลก เท่าที่ทราบคือมีมากที่อินเดียและสเปน ด้วยเหตุนี้หญ้าฝรั่นจึงแพงมาก

     หญ้าฝรั่นมีสีเหลืองอมแดง รสเผ็ดขมอมหวานและหอมโบราณใช้ทำยาหอม ยาชูกำลัง แก้ไข้ แก้สวิงสวาย บำรุงธาตุแก้ซางเด็ก เป็นยาบำรุงโลหิตและแก้เส้นกระตุก นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่ามีสรรพคุณทำให้ผิวเปล่งปลั่ง อายุยืน  แค่ฟังสรรพคุณก็เชื่อว่าหญ้าชนิดนี้แพงแน่



หญ้าฝรั่น-Saffron หนึ่งดอกจะมีเพียง 3 เกสรเท่านั้นที่นำมาใช้เกสรหญ้าฝรั่น-Saffron

การเพาะปลูก

     เจริญเติบโตในชีวนิเวศแบบทุ่งไม้พุ่มทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทุ่งไม้พุ่มหรือทุ่งไม้พุ่มแคระอเมริกาเหนือ และสถานที่ภูมิอากาศร้อน กึ่งแห้งแล้งมีลมโชย กระนั้นก็สามารถอยู่รอดในฤดูหนาวที่หนาวเย็นได้โดยสามารถทนความเย็นได้ถึง −10 °C (14 °F) และถูกหิมะปกคลุมในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องมีการชลประทานถ้าไม่ได้เพาะปลูกในบริเวณที่สิ่งแวดล้อมมีความชื้น เช่น รัฐแคชเมียร์ที่ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปี 1,000–1,500 มม. (39–59 นิ้ว) พื้นที่เพาะปลูกหญ้าฝรั่นในประเทศกรีก (500 มม.หรือ 20 นิ้วต่อปี) และสเปน (400 มม.หรือ 16 นิ้ว) แต่ก็ยังห่างไกลนักเมื่อเทียบกับพื้นที่เพาะปลูกในประเทศอิหร่าน เวลาเป็นหัวใจหลักที่สำคัญ ฝนที่เหลือเฟือในฤดูใบไม้ผลิและอากาศแห้งในฤดูร้อนนั้นเหมาะสมที่สุด ฝนที่ตกก่อนหน้าจะช่วยเพิ่มผลผลิตให้หญ้าฝรั่นออกดอกมากขึ้น ฝนตกหรืออากาศหนาวระหว่างช่วงการออกดอกจะทำให้ผลผลิตลดต่ำลง สภาวะร้อนและชื้นติดต่อกันจะสร้างความเสียหายให้กับพืช เช่นเดียวกับการขุดดินที่เกิดจากกระต่าย หนู และนก นีมาโทดา โรคใบสนิม และโรคหัวเน่า เป็นภัยคุกคามการเพาะปลูกหญ้าฝรั่นเช่นกัน




ดอกแสนสวยของหญ้าฝรั่น-Saffron

หญ้าฝรั่นที่ปลูกเลี้ยง (C. sativus) เป็นพืชดอกฤดูใบไม้ร่วงอายุหลายปีไม่พบในธรรมชาติ เป็นรูปแบบหนึ่งของพืชดอกฤดูใบไม้ร่วงทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Crocus cartwrightianus) ที่เป็นหมัน ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเอเชียกลาง หญ้าฝรั่นเป็นผลของ C. cartwrightianus เมื่อถูกการคัดเลือกพันธุ์โดยมนุษย์โดยเกษตรกรเพื่อให้ได้ยอดเกสรเพศเมียที่ยาวขึ้น จากการที่เป็นหมัน ชนิดดอกสีม่วงชนิดนี้จึงไม่สามารถสร้างผลิตที่สามารถเจริญต่อไปได้ การสืบพันธุ์จึงเกิดขึ้นจากการช่วยเหลือของมนุษย์ หัวใต้ดินที่มีรูปร่างคล้ายกับหัวหอม เป็นอวัยวะที่สะสมกักตุนแป้ง จะถูกขุดขึ้นจากดิน แยกออกจากกัน และนำไปเพาะปลูกอีกครั้ง หัวหญ้าฝรั่นที่มีชีวิตอยู่มาหนึ่งฤดูจะสร้างและแบ่งออกได้มาถึง 10 หัวย่อยที่สามารถนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ได้ หัวเป็นเมล็ดกลมสีน้ำตาลมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 4.5 ซม. และห่อด้วยเส้นใยขนานกันหนา

     หลังการเรียงกลีบในฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้จะแทงใบสีเขียวแคบขึ้นมาในแนวเกือบตั้งฉาก 5-11 ใบ แต่ละใบยาวถึง 40 ซม. ในฤดูใบไม้ร่วงจะเริ่มแทงตาสีม่วงขึ้นมา ในเดือนตุลาคม หลังไม้ดอกชนิดอื่นส่วนมากออกเมล็ดแล้ว พืชจะออกดอกเป็นกระจุกสีม่วงอ่อนเหมือนแรเงาด้วยดินสอสีถึงม่วงเข้มที่มีริ้วสีม่วงซีด ลักษณะดอกมีรูปร่างคล้ายดอกบัว กลีบดอกเรียวยาวคล้ายรูปไข่ เมื่อมีดอก หญ้าฝรั่นมีความสูงเฉลี่ยน้อยกว่า 30 ซม. มียอดเกสรเพศเมียสีแดงสดยื่นออกมายาวโผล่พ้นเหนือดอกมีลักษณะเป็นง่ามสามง่าม ยาว 25-30 มม.

      หญ้าฝรั่นเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในเมื่อได้รับแสงแดดจัด การปลูกเลี้ยงกระทำได้ดีในพื้นราบที่เอียงเข้าหาแสงแดด (นั่นคือ เอียงไปทางทิศใต้ในซีกโลกเหนือ) เพื่อให้ได้รับแสงมากที่สุด การเพาะปลูกมักกระทำในเดือนมิถุนายนในซีกโลกเหนือ หัวหญ้าฝรั่นจะถูกฝังลงไปในดินลึก 7-15 ซม. (2.8–5.9 นิ้ว) ทั้งนี้ความลึกและระยะห่างของการฝังหัวหญ้าฝรั่นขึ้นกับภูมิอากาศซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อผลผลิต การปลูกด้วยหัวแม่พันธุ์จะให้ผลิตผลหญ้าฝรั่นที่มีคุณภาพสูงกว่าแม้ว่าจะแทงตาดอกและให้หัวลูกน้อยกว่า เพื่อให้ได้หญ้าฝรั่นที่คล้ายเส้นด้าย เกษตรกรชาวอิตาลีจะปลูกโดยการฝังหัวลึก 15 ซม.(5.9 นิ้ว) แต่ละแถวห่างกัน 2–3 ซม. การสร้างหัวและดอกที่เหมาะสมที่สุดคือ 8–10 ซม. เกษตรกรชาวกรีก โมร็อกโก และสเปนมีการวางแผนปลูกด้านความลึกและระยะห่างที่ต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ตามความเหมาะสม

     C. sativus ชอบดินร่วนซุย ไม่จับตัวแน่น น้ำไหลผ่านและอุ้มน้ำได้ดี และดินเป็นดินเหนียวปนหินปูนที่มีสารอินทรีย์สูง การยกร่องช่วยให้สามารถระบายน้ำได้ดี การใส่ปุ๋ยคอก 20–30 ตันต่อเฮกตาร์จะช่วยเพิ่มสารอินทรีย์ให้แก่ดินได้ หลังจากนั้นจะทำการปลูกหัวหญ้าฝรั่นลงไป หลังจากพักตัวตลอดฤดูร้อน หัวหญ้าฝรั่นจะแทงใบแคบสีเขียวขึ้นมาและเริ่มมีตาดอกในต้นฤดูใบไม้ร่วง ดอกจะบานช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง การเก็บเกี่ยวจำเป็นต้องกระทำอย่างรวดเร็วเพราะหลังจากที่ดอกบานในตอนเช้า ดอกจะเหี่ยวอย่างรวดเร็วหลังผ่านไปหนึ่งวัน ดอกของหญ้าฝรั่นจะบานพร้อมกันในช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์ ดอกหญ้าฝรั่น 150 ดอกจะได้ผลผลิตหญ้าฝรั่นแห้ง 1 กรัม (0.035 ออนซ์) ถ้าต้องการหญ้าฝรั่นแห้ง 12 กรัม (ผลผลิตหญ้าฝรั่นสด 72 กรัม) ต้องใช้ดอก 1 กก. (1 ปอนด์สำหรับผลผลิตหญ้าฝรั่นแห้ง 0.2 ออนซ์) ดอกหนึ่งดอกจะมีผลผลิตหญ้าฝรั่นสดเฉลี่ย 30 มิลลิกรัม (0.46 กรัม) หรือหญ้าฝรั่นแห้ง 7 มิลลิกรัม (0.11 กรัม)





      ในตำราแพทย์แผนโบราณของจีน สมัยยุคศตวรรษที่ 16 นั้นก็ยังมีกล่าวถึงหญ้าฝรั่นโดยแพทย์จีนเรียกหญ้าฝรั่นนี้ว่า ซีหงฮวา ซึ่งแปลว่า ดอกไม้สีแดงจากตะวันตก ส่วนชาวอาหรับและพวกแขกมัวร์ในประเทศสเปนก็รู้จักการปลูกหญ้าฝรั่นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1504 และยังมีการกล่าวไว้ในตำราทางการแพทย์ของอังกฤษ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 10 (พ.ศ. 1444- 1543) แต่อาจสูญหายไปจากยุโรป กระทั่งพวกครูเสดนำเข้าไปอีกครั้ง ในช่วงสมัยต่างๆ หญ้าฝรั่นมีค่ามากกว่าทองคำเมื่อเทียบน้ำหนักกัน และยังคงเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงที่สุดในโลกจนปัจจุบัน



สมุนไพรหญ้าฝรั่น-Saffron 


      ส่วนตำราการแพทย์แผนโบราณของไทยนั้น หญ้าฝรั่นถือได้ว่าเป็นของที่สูงค่ามีราคาแพงมาก จัดเป็นตัวยาที่ช่วยในการแก้ลมวิงเวียน บำรุงหัวใจ เป็นตัวยาหลักที่ใช้ในตำรับยาหอมต่างๆ และยังใช้บดเป็นผงให้ละเอียดแล้วละลายในน้ำต้มสุกที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วกินเป็นน้ำกระสายยาคู่กับการกินยาตำรับต่างๆอีกด้วย

      ปัจจุบันนี้มีการปลูกหญ้าฝรั่นกันมากในสเปน ฝรั่งเศส ซิซิลี อิตาลี อิหร่าน และแคชเมียร์ จะมีการเก็บเกสรตัวเมียดอกละสามอัน นำไปวางแผ่ไว้ในถาด ย่างไฟที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง นำมาแต่งรสชาติและกลิ่นของอาหาร หญ้าฝรั่นแห้งที่ได้ 1 กิโลกรัม เท่ากับผลผลิต 120,000 - 160,000ดอก ดังนั้นจึงต้องเก็บเกสรตัวเมียจากดอกของหญ้าฝรั่นด้วยมือจำนวนมากถึงจะได้ปริมาณตามที่ต้องการ ทำให้หญ้าฝรั่นจัดเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงที่สุดในโลกโดยน้ำหนักในบรรดาเครื่องเทศทั้งหลาย

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เครื่องเทศในอาหารอินเดีย



เครื่องเทศในอาหารอินเดีย
       ใครที่คุ้นเคยกับอาหารจากประเทศอินเดียอยู่แล้ว คงนึกภาพออกว่าอาหารอินเดียขนานแท้นั้นจะอุดมไปด้วยกลิ่นรส สีสัน ของเครื่องเทศอันร้อนแรง เรียกว่าแต่ละจานนั้นล้วนชุมนุมจอมยุทธ์แห่งเครื่องเทศมาไว้ให้ประชันรสชาติกันสุดฤทธิ์
      เครื่องเทศนั้นจัดว่าเป็นรสเสน่ห์อันจัดจ้านของโลกตะวันออกที่หาสิ่งใดมาเทียบเทียมได้ยากยิ่ง และถ้าหากอยากรู้จักอาหารอินเดียให้ลึกล้ำยิ่งขึ้น ก็ต้องรู้จักเครื่องเทศ
เครื่องเทศทำหน้าที่ชูรสอาหารและช่วยเรียกน้ำย่อย มีรสชาติ กลิ่น และสีสันหลากหลาย ลักษณะพิเศษของเครื่องเทศในอาหารก็คือเรามักจะใช้เครื่องเทศแต่ละชนิดในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงอาจจะไม่ได้คุณค่าทางโภชนาการอย่างเต็มที่จากเครื่องเทศเท่าใดนัก
      กระนั้นแม้จะใช้ในปริมาณอันน้อยนิด แต่ด้วยกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเครื่องเทศ ก็สามารถให้กลิ่นและรสที่สามารถกระตุ้นการเจริญอาหารได้ดี ดังนั้น นักโภชนาการจึงมักจะแนะนำให้คนไข้โรคไตและโรคเบาหวานที่ไม่สามารถบริโภคเกลือโซเดียมและน้ำตาลมากๆ ได้ ให้หันมาใช้เครื่องเทศบางชนิดช่วยชูรสชาติอาหารแทน
      ในวงการแพทย์นั้นถือว่าเครื่องเทศเป็นยา เพราะบางชนิดนั้นมีผลวิจัยยืนยันแล้วว่าดีต่อสุขภาพจริง แต่ถึงเราจะไม่ให้ความสำคัญเชิงสรรพคุณทางยาเป็นหลัก เครื่องเทศก็มีบทบาทอเนกอนันต์ในการเสริมสร้างรสชาติอาหารอย่างแท้จริง
      เครื่องเทศในอาหารอินเดียนั้นที่บ้านเราก็รู้จักกันดีเกือบทุกชนิด เพียงแต่อาหารไทยเลือกใช้เครื่องเทศหลักๆ ไม่กี่อย่าง แต่นิยมใช้สมุนไพรผสมผสานเข้าไปด้วย สำหรับเครื่องเทศที่ชาวโลกนิยมใช้กันมานานนับพันๆ ปีแล้ว มีหลากหลายชนิด ดังนี้...



กานพลู เครื่องเทศในอาหารอินเดีย

กานพลู (cloves) ลักษณะเหมือนดอกไม้เล็กๆ ขนาดหัวไม้ขีดไฟ บริเวณดอกตูมแห้งของกานพลูกลมๆ ตรงยอดก้านนั้นจะมีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหยเป็นจำนวนมาก เมื่อโดนความร้อนน้ำมันหอมระเหยจะส่งกลิ่นออกมาคลุกเคล้ากับอาหาร สำหรับสรรพคุณทางยานั้นเชื่อว่าสามารถใช้รักษาอาการปวดฟันได้ และคนโบราณรู้จักใช้กานพลูแก้ปวดฟันมานานเป็นร้อยๆ ปีแล้ว



ขิง เครื่องเทศในอาหารอินเดีย

ขิง (ginger) เครื่องเทศชนิดนี้คนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้ว และในครัวจีนถือว่าเป็นเครื่องเทศประจำก้นครัวที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว ขิงนั้นมีสรรพคุณในการช่วยย่อยอาหาร นิยมใช้แก้อาการคลื่นเหียนเมาของสตรีมีครรภ์หรือเมารถ เมาเรือ สำหรับคนเดินทางได้ดี นอกจากนั้น ยังช่วยทำให้โลหิตหมุนเวียนได้ดีขึ้น
      คนโบราณบางท้องถิ่นนิยมเคี้ยวขิงแก้อาการปวดฟัน และเชื่อว่า ขิงสามารถป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและระบบย่อยอาหารได้ แถมยังช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดได้ดี คนที่เป็นหวัดลองต้มน้ำขิงร้อนๆ ดื่มจะช่วยให้จมูกโล่งและกระตุ้นให้ตับสามารถขับสารพิษออกจากร่างกายได้มากขึ้น
เครื่องดื่มขิงแบบง่ายๆ แต่ได้รสชาติดี ลองใช้ขิงบดละเอียด 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมะนาวครึ่งลูกและน้ำร้อน 1 แก้ว ดื่มแล้วชุ่มฉ่ำมาก



ขมิ้น เครื่องเทศในอาหารอินเดีย

ขมิ้น (turmeric) เป็นเครื่องเทศสมุนไพรที่บ้านเรานิยมใช้กันมากไม่แพ้เมืองแขกเลย โดยเฉพาะในแวดวงความงาม ธุรกิจสปา ที่นำไปเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางบำรุงผิว ขัดสีฉวีวรรณให้ผุดผ่องเป็นยองใยนวลละออออกสีเหลืองทองแบบสีขมิ้น
       ในทางสรรพคุณเชื่อกันว่า ขมิ้นมีคุณสมบัติเป็นยาบำรุงตับ ต้านแบคทีเรีย ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง คนไทยโบราณจึงนิยมทาตัวด้วยขมิ้น สำหรับการใช้ในอาหารนั้นนิยมใช้แต่งสีเป็นหลัก และเมื่อผสมในอาหาร ขมิ้นสามารถช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานเป็นปกติได้ด้วย



จูนิเพอร์ เครื่องเทศในอาหารอินเดีย

จูนิเพอร์ (juniper berries) ลูกจูนิเพอร์เป็นเม็ดกลมๆ ดำๆ อาจไม่ค่อยคุ้นตานักในบ้านเรา แต่ก็หาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องเทศสมุนไพรทั่วไป คนอินเดียนิยมใช้จูนิเพอร์หมักเนื้อสัตว์เพื่อลดกลิ่นสาบ โดยสรรพคุณทางยาของลูกจูนิเพอร์นั้นมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ จึงถูกนำไปใช้รักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบด้วย



โป๊ยกั้ก

โป๊ยกั้ก (staปr anise) เครื่องเทศตัวนี้คนไทยก็รู้จักดี เป็นเครื่องเทศจากเมืองจีนซึ่งนิยมใช้ในอาหารจำพวกตุ๋น และซุป โดยเฉพาะพะโล้ทั้งหลาย หน้าตาของโป๊ยกั้กเป็นรูปดาวสวยงามเหมือนความหมายในภาษาอังกฤษ โดยดาวแต่ละแฉกนั้นจะบรรจุเมล็ดโป๊ยกั้กเล็กๆ เอาไว้ มีสรรพคุณช่วยแก้ท้องอืดและรักษาอาการปวดท้องได้ และสำหรับบทบาทความเป็นเครื่องเทศนั้น โป๊ยกั้กให้กลิ่นที่หอมเรียกน้ำย่อยได้ดี



พริก เครื่องเทศในอาหารอินเดีย

พริก (chillies) อันนี้เครื่องเทศประจำครัวบ้านเรา บ้านไหนไม่กินพริกถือว่าไม่รู้จักรสชาติอาหารไทยอย่างแท้จริง พริกนั้นส่งผลต่อรสชาติอาหารในเรื่องความเผ็ดร้อน ความจัดจ้าน รวมทั้งช่วยให้สีสันของอาหารน่ารับประทานขึ้นมาก ต้นกำเนิดพริกนั้นมาจากแถบอเมริกากลางและในโลกนี้มีพริกมากมายหลายชนิด นับแล้วกว่า 50 ชนิดค่ะ และแต่ละชนิดมีความเผ็ดร้อนแตกต่างกันไป พริกที่มีรสเผ็ดจัดมักมีขนาดเล็ก เช่น พริกขี้หนู สรรพคุณทางยานั้น พริกมีฤทธิ์ช่วยขับเสมหะและทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
       ส่วนข้อสงสัยที่ว่าเหตุใดอาหารเผ็ดร้อนอย่างพริกจึงมีเสน่ห์ดึงดูดใจเหลือหลาย ก็เพราะเวลารับประทานพริกเผ็ดๆ สมองจะหลั่งเอนดอร์ฟินซึ่งเป็นสารระงับปวดออกมาเป็นการโต้ตอบรสชาติที่เผาผลาญของพริก เมื่อสารเอนดอร์ฟินถูกขับออกมามากๆ ก็จะสร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้นในตัวเราพริกยังอุดมด้วยวิตามินซี และเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนที่ดีอีกด้วย





พริกป่นทั้งเมล็ด (cayenne pepper) ที่เป็นเครื่องเทศแบบฝรั่งนั้น ไม่ใช่พริกป่นหยาบๆ แบบบ้านเรา แต่เป็นพริกป่นแบบละเอียดเป็นผง ทำจากพริกแดงชนิดหนึ่ง เชื่อว่าเป็นยาบำรุงระบบย่อยอาหารและระบบไหลเวียนโลหิต แก้ปัญหาอาหารไม่ย่อยและบรรเทาอาการนิ้วบวมจากอากาศหนาว เหมาะกับอาหารอินเดียทางตอนเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็น




พริกไทยดำ

พริกไทยดำ (black pepper) อันนี้คนไทยก็คุ้นเคย ใช้เป็นเครื่องเทศประจำครัวเช่นกัน นอกจากกลิ่นหอมชวนดมแล้ว พริกไทยดำยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด แก้ท้องผูกได้ด้วย



ลูกผักชี เครื่องเทศในอาหารอินเดีย

ลูกผักชี (coriander seeds) เมล็ดแห้งจากผักชีที่เล็กและเบาแต่ฤทธิ์ความหอมนั้นรุนแรง ช่วยให้อาหารกลมกล่อมขึ้นมาก ไม่แพ้ใบผักชีสดที่อยู่ในครัวตะวันออกมายาวนาน จำได้ว่าตอนที่ปลูกผักสมัยเด็กๆ นั้น พ่อจะเก็บแปลงผักชีสำหรับทำพันธุ์ไว้แปลงหนึ่งเป็นพิเศษ คอยให้ผักชีเป็นต้นแก่ ออกดอกสีขาวเป็นช่อเล็กๆ สวยงามพลิ้วไสวในสายลม เมื่อดอกติดเมล็ดแล้วก็จะปล่อยให้ลูกผักชีแห้งคาต้นจึงจะเก็บเกี่ยว นำไปตากแห้ง เก็บไว้ทำพันธุ์ปีต่อไป สรรพคุณทางยาของเมล็ดผักชีนั้น ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร รักษาโรคท้องร่วงและกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ดี




เมล็ดมัสตาร์ด เครื่องเทศในอาหารอินเดีย

เมล็ดมัสตาร์ด (mustard seeds) เป็นเมล็ดผักเล็กๆ มีทั้งสีขาวและสีน้ำตาลไหม้ ซึ่งไม่ค่อยคุ้นตากับคนไทยเท่าไหร่นัก และเรามักจะใช้มัสตาร์ดแบบที่ปรุงแต่งสำเร็จแล้ว เป็นสีออกเหลืองมากกว่า เมล็ดมัสตาร์ดสีเข้มจะเผ็ดร้อนรุนแรงกว่าสีขาว ฝรั่งนิยมใช้ใส่ในน้ำร้อนเวลาแช่เท้าโดยจะตำเมล็ดมัสตาร์ดให้แหลกเสียก่อน เชื่อกันว่า วิธีนี้จะช่วยไล่หวัดและบรรเทาอาหารปวดศีรษะ และขับไล่ความเมื่อยล้าของเท้าได้ดี



เมล็ดยี่หร่าแขก เครื่องเทศในอาหารอินเดีย

เมล็ดยี่หร่าแขก (cumin seeds) เป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุนมาก นี่แหละคือสุดยอดเครื่องเทศอีกอย่างหนึ่งของคนอินเดีย ยี่หร่าแขกนั้นจะมีสีขาว ส่วนยี่หร่าดำจะออกสีน้ำตาลเข้ม แต่รูปร่างหน้าตาแบบเดียวกัน คือเป็นเม็ดเล็กๆ รูปทรงยาวรี มีกลิ่นฉุนมากและรสออกขม นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงแกง เรียกว่าแกงแขก แทบทุกประเภทล้วนมียี่หร่าแขกเป็นเครื่องเทศเอก รวมทั้งนิยมใช้ผสมในไก่ย่างทันดูรี โดยจะป่นละเอียดผสมกับลูกผักชี ช่วยให้ไก่ทันดูรีหอมและนุ่ม





เมล็ดยี่หร่าดำ (caraway seeds) อยู่ในตระกูลเดียวกับยี่หร่าแขก แต่กลิ่นฉุนน้อยกว่า



ลูกกระวาน

ลูกกระวาน (cardamom) เป็นเครื่องเทศปรุงแต่งกลิ่นอีกชนิดหนึ่งที่คนอินเดียนิยมใช้มาก โดยเฉพาะเวลาชงชาจะต้มลูกกระวานผสมกับน้ำนมให้ได้กลิ่นหอมออกเผ็ดร้อนนิดๆ เสียก่อนนำมาชงกับชา ทำให้รสชาติของชาอินเดียมีเอกลักษณ์พิเศษ คือนอกจากจะหอมกลิ่นชาแล้วยังหอมกลิ่นลูกกระวาน มีรสแบบอินเดียติดปลายลิ้นจนลืมไม่ลงเลยทีเดียว



ลูกจันทร์ป่น

ลูกจันทน์ (nutmeg) เม็ดแข็งๆ ขนาดใหญ่พอสมควร เป็นเมล็ดจากต้นจันทน์เทศ นิยมใช้ทั้งในอาหารอินเดียและอาหารฝรั่ง โดยเฉพาะเวลาปรุงแกงหรือซุป




ดอกจันทน์ (mace) มาจากต้นจันทน์เทศเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ดอก แต่เป็นรกหุ้มเมล็ดจันทน์อีกทีหนึ่ง เป็นส่วนที่มีสารไมริสทิซิน หากใช้มากเกินไปมีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม แต่ถ้าใช้พอดีๆ จะช่วยแก้คลื่นเหียน อาเจียนและท้องร่วง



หญ้าฝรั่น- Saffron- เครื่องเทศในอาหารอินเดีย

หญ้าฝรั่น (saffron) เป็นเครื่องเทศยอดนิยมสุดๆ ของคนอินเดีย และมีราคาแพงมากๆ จะบอกว่าแพงที่สุดในบรรดาเครื่องเทศทั้งปวงก็ว่าได้ เพราะเชื่อว่าเป็นยาสามารถรักษาได้สารพัดโรค เช่น แก้ปวดประจำเดือน บรรเทาอาการภาวะหมดประจำเดือน แก้โรคซึมเศร้า ท้องร่วง และอาการปวดประสาท แต่สุดยอดความนิยมในการใช้หญ้าฝรั่นก็คือการนำมาปรุงแต่งกลิ่นและสีของอาหารอินเดีย เพราะมีกลิ่นหอมและสีเหลืองสวยอาหารแทบทุกชนิดของอินเดียมักปรุงด้วยหญ้าฝรั่น ตั้งแต่ข้าวสวย ซาโมซ่า ซุปดาล กะบับ ข้าวหมก ฯลฯ



อบเชย เครื่องเทศในอาหารอินเดีย

อบเชย (cinnamon) แท่งไม้สีน้ำตาลหอมกรุ่นที่ช่วยชูรสของหวานจำพวก เค้ก คุกกี้ กาแฟ ซุป และสารพัดอาหาร เป็นเครื่องเทศยอดนิยมอีกอย่างหนึ่งของคนทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะชาวอินเดียเท่านั้น อบเชยหรือซินนามอนมีฤทธิ์บำรุงระบบย่อยอาหารและกลิ่นหอมของอบเชยยังช่วยให้จมูกโล่งได้ดี





ออลสไปซ์ (allspice) ดูตามศัพท์ภาษาอังกฤษแล้วน่าจะแปลความหมายว่า เป็นเครื่องเทศรวม แต่จริงๆ แล้วออลสไปซ์เป็นเครื่องเทศแบบเดี่ยวๆ เหมือนกับเครื่องเทศชนิดอื่น มีกลิ่นคล้ายอบเชย กานพลูและลูกจันทน์ผสมกัน เขาก็เลยเรียกว่าออลสไปซ์ สรรพคุณทางยา ช่วยย่อยอาหาร
       อาหารแบบอินเดียตอนเหนือแถบสิกขิมเป็นอาหารที่ได้รับการยอมรับว่ามีรสชาติที่กลมกล่อม หอมกลิ่นเครื่องเทศที่กำลังพอเหมาะ ไม่ฉุนเฉียวเผ็ดร้อนเกินไป
ให้ความนุ่มนวลและชวนให้เจริญอาหารได้ดี

อินเดียโดยสังเขป

อินเดียโดยสังเขป  



      อินเดียตั้งอยู่ระหว่างละติจูดที่ 8° 4′ และ 37° 6′ เหนือ และลองติจูดที่ 68° 7′ และ 97° 25′ ตะวันออก มีความยาวจากเหนือจรดใต้ 3214 กิโลเมตร และจากตะวันออกถึงตะวันตก 2933 กิโลเมตร มีพื้นที่รวมทั้งหมด 3,287,263 ตารางกิโลเมตร

      อินเดียนับเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 7 ของโลก มีชายแดนด้านติดกับแผ่นดินยาว 15,200 กิโลเมตร และชายฝั่งทะเลยาว 7516.5 กิโลเมตร มีหมู่เกาะ Andaman & Nicobar ทางด้านอ่าวเบงกอล และเกาะ Lakshadweep อยู่ในทะเลอาราเบียก็รวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินเดียด้วย

      อินเดียมีพรมแดนติดกับประเทศปากีสถานและอัฟกานิสถานทางด้านตะวันตก ติดกับประเทศบังคลาเทศและพม่าทางด้านตะวันออก ส่วนด้านทิศเหนือติดจีน เนปาล และภูฏาน ทางด้านทิศใต้ อินเดียแยกจากศรีลังกาโดยพรมแดนธรรมชาติ ช่องแคบ Palk และอ่าว Mannar

      โดยลักษณะทางกายภาพ ประเทศอินเดียแบ่งกว้างๆ ตามภูมิศาสตร์ออกเป็น a) เขตภูเขาสูง b) ที่ราบลุ่มแม่น้ำ c) ทะเลทราย และ d) คาบสมุทร

      เทือกเขาในอินเดียทอดยาวกว่า 2400 กิโลเมตร ประกอบด้วย 7 เทือกเขา ดังนี้ 1) Himalayas 2) Patkai 3) Vindhyas 4) Satpura 5) Aravalli 6) Sahyadri และ 7) Eastern Ghats

      ประเทศอินเดีย หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐอินเดีย (Republic of India) ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ มีพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าไทยถึงหกเท่า มีอาณาเขตทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดพม่า ทางตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตกเฉียงใต้จรดมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันออกติดบังกลาเทศ

      อินเดียมีการปกครองในระบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ และมีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารอย่างแท้จริง บริหารโดยกระจายอำนาจการปกครองในลักษณะสหพันธรัฐ (Federal System) ออกเป็นรัฐต่างๆ 28 รัฐ โดยรัฐใหม่ 3 รัฐ ที่เพิ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นในเดือนมกราคม 2544 ก็คือ รัฐฉัตตีสครห์ (Chattisgarh) รัฐอุตตะรันจัล (Uttaranchal) และรัฐฉรขันท์ (Jharkhand) ซึ่งแยกออกจากรัฐมัธยประเทศ อุตตระประเทศ และรัฐพิหาร ตามลำดับ และยังมีดินแดนสหภาพ หรือสหภาพอาณาเขตของรัฐบาลกลาง (Union Territories) อีก 7 เขต ดังนี้




แผนที่ประเทศอินเดีย

รัฐต่างๆ ของอินเดีย

1. อานธรประเทศ (Andhra Pradesh)

2. อรุณาจัลประเทศ (Arunachal Pradesh)

3. อัสสัม (Assam)

4. พิหาร (Bihar)

5. ฉัตติสครห์ (Chhattisgarh)

6. กัว (Goa)

7. คุชราต (Gujarat)

8. หรยาณา (Haryana)

9. หิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh)

10. ชัมมูและกัศมีร์ (Jammu and Kashmir)

11. ฌาร์ขัณฑ์ (Jharkhand)

12. กรณาฏกะ (Karnataka)

13. เกรละ (Kerala)

14. มัธยประเทศ (Madhya Pradesh)

15. มหาราษฏระ (Maharashtra)

16. มณีปุระ(Manipur)

17. เมฆาลัย (Meghalaya)

18. มิโซรัม (Mizoram)

19. นาคาแลนด์ (Nagaland)

20. โอริสสา (Orissa)

21. ปัญจาบ (Punjab)

22. ราชสถาน (Rajasthan)

23. สิกขิม (Sikkim)

24. ทมิฬนาฑู (Tamil Nadu)

25. ตริปุระ (Tripura)

26. อุตตรประเทศ (Uttar Pradesh)

27. อุตตราขัณฑ์ (Uttarakhand)

28. เบงกอลตะวันตก (West Bengal)

ดินแดนสหภาพ

A. หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ (Andaman and Nicobar Islands)

B. จัณฑีครห์ (Chandigarh)

C. ดาดราและนครหเวลี (Dadra and Nagar Haveli)

D. ดามันและดีอู (Daman and Diu)

E. ลักษทวีป (Lakshadweep)

F. เดลี (Delhi)

G. พอนดิเชอร์รี (Puducherry)

      ตามรัฐธรรมนูญอินเดียได้แบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลกลาง (Government of India) และรัฐบาลมลรัฐ (State Government) อย่างชัดเจน โดยรัฐบาลกลางดำเนินการเรื่องการป้องกันประเทศด้านนโยบายต่างประเทศ การรถไฟ การบิน และการคมนาคมอื่นๆ ด้านการเงิน ด้านกฎหมายอาญา ฯลฯ ส่วนรัฐบาลมลรัฐมีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและรักษากฎหมาย การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของมลรัฐ ซึ่งจะทยอยนำเสนอรายละเอียดของแต่ละรัฐต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ขอบคุณภาพจาก India-states-numbered, From wikipedia

คำภาษาไทยที่ใช้เรียกชื่อ รัฐและเมืองหลวงของอินเดียอย่างถูกต้อง

Andhra Pradesh อานธรประเทศ (เมืองหลวงของรัฐนี้คือ Hyderabad ไฮเดอราบาด),

Arunachal Pradesh อรุณาจัลประเทศ (Itanagar อิฏานคร),

Assam อัสสัม (Dispur ทิสปุระ),

Bihar พิหาร (Patna ปัฏนา),

Goa กัว หรือ โคอา (Panaji ปณชี),

Gujarat คุชราต (Gandhinagar คานธีนคร)

Haryana หรยาณา (Chandigarh จัณฑีครห์),

Himachal Pradesh หิมาจัลประเทศ (Simla ศิมลา),

Jammu and Kashmir ชัมมูและแคชเมียร์ หรือ แชมมูและกัศมีร์ (Srinagar ศรีนคร),

Karnataka กรณาฏกะ (Bangalore บังคาลอร์),

Kerala เกรละ (อ่านว่า เก–ระ–ละ) (Trivandrum ตริวันดรัม)

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความหมายขยายความของคำว่า India.....I & D



ความหมายขยายความของคำว่า India.....I & D

     จะยกคำว่า IN มาก่อน คำนี้น่าจะมาจากนามขององค์อินทรา ซึ่งเป็นเทวนายก คือผู้นำของเทวดาบนสวรรค์ชั้นฟ้า ผู้เป็นต้นเค้าของคำว่า “อินเดีย” จะแยกออกเป็นไอ กับ เอ็น

     ไอมาจากไอแอม I am แปลว่าข้าพเจ้า คือเขาเป็นข้าของพระเจ้า เป็นตัวของตัวเอง แม้จะเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่นมาบ้าง แต่ไม่ยอมเป็นข้าของพระเจ้าศาสนาใด คราวตกเป็นเมืองขึ้นก็ไม่เสียขวัญ กลับมุ่งหน้าพัฒนาศาสนาทั้งหลายในประเทศขึ้นป้องกันตัวเองได้ อย่างน่าชื่นชม เขาสร้างพระเจ้าให้มีฤทธิรอน เหมือนว่าเป็นทหารศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า มาสู้กับพวกนักล่าอานานิคมจนถอยร่นตกขอบมหาสมุทรไปต่อหน้าต่อตา แล้วใช้พลังความเชื่อจากศาสนาสู่การพัฒนาสรรพสิ่งอย่างได้ผล

     อักษรเอ็น ขอขยายความหมายของตัว N คือ I สามตัวรวมกันอยู่เป็นตรีมูรติ โดยมี I สองตัวยืนตรง อีกหนึ่ง I โค้งเชื่อมกลาง ไอสมานฉํนท์กับไอ ไอจึงเป็นไอที่ยิ่งใหญ่ เรียกว่าไอเก่งคนเดียวไม่ได้ ต้องมีพรรคมีพวก ไอสามตัวจะยืนตรงเป็นเสาไฟฟ้าก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวจะเป็นไอหัวตั้งอยู่โดดๆ แบกอัตตาตัวใครตัวมัน เรียกว่าต่างไอต่างใหญ่ ดังนั้นไอตัวหนึ่งต้องยอมลดตัวตนลงเชื่อมกลาง จึงกลายเป็นสามไอสามัคคีขึ้นมาทันที ไอต้องรู้จักยอมกันบ้าง จึงจะครองความยิ่งใหญ่เนิ่นนาน ไอเป็นสื่อกลางประสานสามพลัง ให้เป็นหนึ่งเดียวเรียกว่าไอตรีมูรติ

เพื่อให้เกิดมุมสนุกกับสาระ ที่มีอยู่ในคำว่า India ลองตามไปดูความหมายกันเลย


     Insight (วิปสฺสนา) ดูข้างในให้แจ้ง มองส่วนลึกให้ถึงจิตตวิญญาณ ชาวอินเดียชอบดูข้างใน ดูแลภายในประเทศของตน ประชากรของตัว ดูแลสังคมด้วยตาที่แหลมคม จนเข้าใจตัวเองอย่างแจ่มชัด แม้ไปศึกษาถึงเมืองนอกเมืองนา พอจบก็กลับมาช่วยเสริมเติมให้มาตุภูมิแข็งแรง ข้างในเข้าใจศาสนา นำมาช่วยกันทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ดูนอกให้เห็นชัด มองในให้เห็นจริง ดูไกลมองใกล้ มองไกลๆ ทำใกล้ๆ มีแต่ได้ไม่มีเสีย

     Intelligent (ปณฺฑิโต, โกวิโท) บัณฑิตคือผู้ฉลาด ฉลาดได้เพราะเป็นผู้ทำเอง รู้จักเหตุ รู้จักผล ปรับของคนอื่นมาเป็นของตนได้ ในอินเดีย บัณฑิตเป็นพวกวรรณะพราหมณ์ ออกเสียงปานเด มีมากพอๆ กับวรรณะอื่นๆ อีกสาม ต้องยอมรับว่าอินเดียเขามีความฉลาดตามแบบของเขาเอง มีความฉลาดพอเพียงแก่การใช้สอยภายใน ไม่จำเป็นต้องนำเข้าความฉลาดจากต่างชาติให้รุงรัง

     Individual (ปจฺเจกปุคฺคโล) อินเดียมีเอกลักษณ์เฉพาะตน มีความเด็ดเดี่ยวเชี่ยวชาญในงาน ของตน ไม่ว่าหน้าตาคน เสื้อผ้าที่สวมใส่ บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ล้วนแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน ถนนหนทางการบ้านการเมือง วิถีชีวิต สิ่งแวดล้อม อินเดียมีเอกราชได้เพราะเอกลักษณ์ ไม่พัฒนาเอกบุรุษ จนเสียเอกลักษณ์ของเหล่ากอ อนุรักษ์กับพัฒนาอยู่รวมกันอย่างลงตัว อินเดียคืออินเดีย ใครจะเหมือนอินเดียก็ไม่ว่า แต่อินเดียจะต้องเหมือนอินเดียเท่านั้น

     Interfere (มาโร) อินเดียเป็นดินแดนที่มีทั้งมารและเทพ มารเมืองนี้ก็เก่ง เทพเมืองนี้ก็ยอด อินเดียจึงมีตัวอย่างการต่อสู้ทุกรูปแบบไว้ให้ศึกษา ทุกศาสนามีทั้งเทพและมาร เกิดการต่อสู้กันเมื่อใด นั่นหมายความว่าทั้งสองฝ่ายกำลังทำงานตามวิชาถนัดของตน ใครชนะก็ได้เป็นใหญ่ เป็นมหาบุรุษ เป็นศาสดา ดูแต่พระพุทธเจ้าของเรา วัสดีมารก็ไม่ยอมเว้นให้ ในวันตรัสรู้ซึ่งเป็นวันมงคลแท้ๆ ยังไปท้าให้เกิดการสู้รบตบมือ ดีว่าพระพุทธเจ้าของเรามีวิชาของพระองค์คือบารมี ๑๐ ทิศ มารก็มีวิชามาร ต่างผู้ต่างผจญประจัญบาน จนพระพุทธเจ้าได้รับชัยชนะตามพุทธวิธี ไปอินเดียจะมีมารเล็กๆ น้อยๆ มารบกวนเราบ้าง เช่นขอทาน ขายของ ไม่สบอารมณ์ ขัดขวาง ทดสอบอารมณ์ผู้แสวงบุญ

     International (นานปฺปเทโส) อินเดียคิดการใหญ่ ทุกอย่างต้องไกล โกอินเตอร์ทั้งนั้น การขยายอำนาจด้วยกำลังพล ใช้ศาสนานำ พาคนออกนอกประเทศ ให้ศาสนาครองใจนานาชาติ มีสินค้าอินเตอร์เข้ามาก๊อปปี้ได้หมด สมัยพระเจ้าอโศกฯ ส่งพระสงฆ์ที่เป็นธรรมฑูตเก้าสาย ขยายอาณาจักรคุมพื้นที่โลกด้วยศาสนา และโกอินเตอร์อย่างสง่างาม สร้างความเชื่อมั่นทางศรัทธา จนสหประชาชาติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสากล ให้การสรรเสริญการประสูติ การตรัสรู้ ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า เป็นชีวิตตัวอย่างที่มนุษย์เดินตามได้อย่างมั่นใจ และวิสาขบูชาเป็นวันหยุดสากล

     Interview (ปุจฺฉา – วิสชฺชนา) อินเดียโดยลักษณะของคนเมืองนี้ชอบถาม ชอบตอบ ชอบพูด ชอบสนทนา เจรจากันกลางถนน จอดรถคุยกันเหมือนไม่เคยเจอกันมาแรมปี แม้ในครั้งพุทธกาล คำสอนในพระสูตรต่าง ๆ ก็เกิดจากลักษณะนิสัยของคนอยากรู้อยากเห็น และพวกชอบถามชอบตอบนี่เอง

     Invite (นิมนฺเตติ, อาราธนํ) อินเดียเป็นประเทศที่ชอบเชื้อเชิญ ชักชวนผู้คนเข้าประเทศของตน มาดูของดี ๆ ที่มีอยู่มากพอเพียง ทั้งอดีตที่ยาวนาน ทั้งอนาคตที่ไกลโพ้น นำสรรพสิ่งระหว่างอนาคตกับอดีตมาวางเรียงให้ดูกันเต็มหูเต็มตา แม้ในหลักธรรมทางพุทธศาสนายังเปิดโอกาสชักชวนให้คนมาดูว่า สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถที่คนเขลาหมกอยู่ ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ ยิ่งเราไปย่านการท่องเที่ยว ทั้งลูกเล็กเด็กแดงช่วยกันอาราธนาไปซื้อข้าวซื้อของ สนุกกันไปทั้งวัน

     Income (ธนา – กมฺมํ) คนอินเดียขยันทำงาน ทุกอย่างเป็นรายได้ อะไรไม่มีกำไรแขกไม่ทำ ค้าเก่ง ขายเก่ง เก็บดอกเบี้ยเก่ง หาเงินเก่ง



D ในความหมาย

     Design (วิธานํ) อินเดียเป็นประเทศที่ต้องยอมรับว่า มีพรสวรรค์ในการออกแบบ ไม่ว่าจีวรพระ เทวาลัย อชันตา ทัชมาฮาล สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ล้วนนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศทั้งนั้น ลักษณะคนของเขาชอบเป็นเจ้าแผนการ เจ้าแบบเจ้าเรือน เจ้าบทเจ้ากลอน ชอบตกแต่งทั้งคน สัตว์ สิ่งของ ให้งามหยดย้อย

     Diplomat (อคคฺราชฑุต, ทูโต) ต้องยอมรับง่าอินเดียมีความเป็นนักการฑูตสูง แหล่งกำเนิดนักการฑูตลิ้นทองมานาน การเจรจามีชั้นมีเชิง เรียกว่าฑูตแขกจะไปแลกหมัดไม่ได้ง่าย ๆ แม้พระพุทธองค์ทรงตั้งฑูตของพระองค์ก่อน คือพระธรรมฑูต ๖๐ รูป ส่งออกประกาศศาสนา สมัยจักรพรรดิอโศก ส่งสมณะฑูต ๙ สาย ทำให้ทั่วโลกส่งเครื่องสักการะด้วยมโนน้อม พระสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาไม่ว่านิกายหรือจากประเทศอะไร เหมือนทูตทางวัฒนธรรมของประเทศอินเดียทั้งสิ้น

     Double (ทฺวิตา) คนไปอินเดียต้องรู้ไว้เลยว่า คนของเขาชอบย้ำคิด ย้ำทำ ทำสิ่งใดต้องสองเท่าไว้ก่อน แม้รับไตรสรณคมณ์ ยังต้องย้ำถึงสามครั้ง การเดินทางในประเทศนี้จะถามทางกับใคร ต้องมีสองหรือสามคน จึงจะพอเชื่อถือได้ แม้กระนั้นก็ไม่ควรประมาท แขกขอทานให้ไปแล้วยังมีหน้ามาขออีก นั่นแหละการย้ำทำ ย้ำขอ

     Donor (ทานปติ, ทายโก) อินเดียมีความเป็นต้นทุนในการเป็นผู้ให้สูงมาก จะเห็นได้จากขอทานเต็มบ้านเต็มเมือง ถ้าไม่มีคนให้ชนิดล้นบ้านล้นเมือง ขอทานจะอยู่ได้อย่างไร ลักษณะคนมีทั้งนายทุน นายห้าง ขนาดว่าตั้งศาสนาเล็กศาสนาน้อยส่งออกไปทั่วโลก แล้วส่งคนออกไปทำหน้าที่เป็นมัคนายกให้ทั่วโลก

     Dream (นิมิตฺตํ – จินฺตา) ต้องยอมรับว่าคนอินเดียที่ยิ่งใหญ่ได้เพราะความเป็นคนชอบฝัน ชอบจินตนาการ สร้างวรรณกรรมระดับมหากาพย์ มีนิทานมากมาย ทำให้คนของเขาคิดภาพองค์รวมเป็นตั้งแต่เยาว์วัย จินตนาการในเรื่องใด ๆเราก็รู้ว่าเป็นความฝัน แต่ก็ชวนเชื่อว่ามันจะต้องเป็นความจริงในวันข้างหน้า

     Develop (ผรณํ) อินเดียเป็นประเทศพัฒนาที่มีแบบฉบับเป็นของตัวเอง ชอบบุกเบิกเปิดตลาดผ้า บุกถึงเมืองจีน เมืองฝรั่ง ขยายลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเร็ว พัฒนาตามกำลังคนของคนอย่างได้ผล ทันสมัย แต่ไม่พัฒนาตามเขา ดูการพัฒนาแบบเดินหน้า ถอยหลัง ดูนักพัฒนาแบบอนุรักษ์ และการอนุรักษ์การพัฒนา

     Danger (ภยํ) ไปอินเดียผู้คนมักจะตั้งความกลัว ไว้เป็นเส้นนำทาง กลัวจะมีภัยอันตราย ขึ้นรถไฟจะไม่ปลอดภัย ถึงที่ไหนจะรู้ได้ยังไง จะลงสถานีไหน มันกลัวไปหมด ไปทางรถยนต์ก็วิ่งน่ากลัวจริงๆ กลัวจะชนกัน แต่ก็ไม่ชน บางครั้งคิดว่าจะต้องไม่ชน แต่ยังชนจนได้ นั่งสามล้อก็กลัวตก เดินถนนก็กลัวชนคน ชนวัว ชนควาย มันกลัวไปหมด แต่ที่สุดความกลัวก็หมด เมื่อเราถึงที่ เห็นกับตา ฟังกับหู ดูอย่างชัดเจน

     Deposit (อุจฺจโย) อินเดียเป็นประเทศที่มีของดี ผู้มาก็ประทับใจ ผู้ไปก็ประทับตา มีของฝากความคิด มีของฝากนักท่องเที่ยว มีบุญฝากนักแสวงบุญ มีความประทับใจฝากกลับไปทุกคน จะทำสิ่งใดในเมืองนี้ต้องมีมัดจำทุกเรื่อง ขอมัดจำทุกอย่าง

     Devotee (จาคํ – อุทฺทิสํ) บ้านนี้ เมืองนี้ต้องยอมรับว่า เป็นมาตราฐานเลยว่าเขาสร้างคนระดับสาวก คือผู้เสียสละอุทิศตน ทั้งทางศาสนาและการเมืองและเรื่องอื่น ๆ มีผู้ยอมเป็นยอมตายให้กับคนที่ตนเองยอมรับ ให้กับศาสนาที่ตนเองนับถืออย่างไม่หวงเนื้อหวงตัว ดูจากการชุมนุมทางศาสนาที่มีมากที่สุดในโลก น่าสนใจมากว่าเขาสร้างคนอย่างไร จึงมีคนประเภททุ่มเทอุทิศตน เพื่อสิ่งที่ตนรักมากขนาดนี้ มีที่สวดมนต์ทุกบ้านแม้ร้านขายของเล็ก ๆ

     Departure (จรติ) ประเทศนี้เขาชอบเป็นชีวิตจิตใจที่จะจาริกออกจากบ้านเรือนที่อยู่อาศัย พาลูกพาเมียนุ่งห่มหนังเสือหรือ ใส่ผ้าเหลืองเดินเท้า หาบคอนไปยังแม่น้ำคงคา การยาตราแสวงบุญก็ดี การเดินธุดงค์ก็ดี วันบูชาออกมาเดินกันตามถนน ตัวอย่างเช่นนี้มีให้เห็นเป็นธรรมดา ในสิ่งที่ตนชอบใจ

     Degree (ปริญฺญา) ต้องยกมือท่วมหัวขอบคุณประเทศนี้ เพราะมีมหาวิทยาลัยให้คนไทยมาเรียนปริญญา แต่ก่อนพระสงฆ์ยาตราไปเรียนที่อื่นกับเขาไม่สดวก อินเดียนี้เองเปิดทางให้พระไทยจากมหาวิทยาลัยสงฆ์มาศึกษาจนได้ปริญญาสูง ๆ

     Doctor (เวชฺโช) ที่อินเดียเป็นดินแดงที่มีหมอ มากมาย ทั้งหมอแผนปัจจุบัน หมอแผนโบราณ หมอดู หมอผี มีให้ไม่ขาดตลาด รักษากันเองแบบง่าย ๆ นั่งถอนฟันข้างถนนก็ได้ คนไข้ถือถุงน้ำเกลือไปหาที่ห้อยเองก็มี ยารักษาโรคก็หาได้ง่าย แต่จะหายหรือเปล่าไม่รับรอง ยิ่งหมอรักษาโรคทางจิตวิญญาณ หมอเมืองนี้มีชื่อก้องโลก

     Discover (วิวรณํ) โดยสัญชาตญาณของคนอินเดีย มีพื้นฐานดั้งเดิมคือชอบค้นคว้า แสวงหา ดูจากมีฤาษี มุนี นักปรัชญา ค้นหาสัจจธรรม ภูเขาทั้งภูเขา แม่น้ำทั้งสาย ทำเป็นที่วิจัยวิชาธรรมชาติของเหล่าดาบส ฤาษี คนประเภททิ้งบ้านทิ้งเรือน ออกป่าออกเขาไปแสวงหาทางวิโมกข์ยังมีมาก

     Depend on (วาสนา) อยู่ในอินเดียนานๆ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายหน จะรู้ว่าคนอยู่กับคนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาเป็นนักคิดนักสอน ถกเถียง คัดง้างกันอย่างรุนแรง แต่ข้อที่น่าสรรเสริญคือมีจุดสต๊อป (stop) ในทุกสิ่ง คือสุดแต่พระเจ้า ขึ้นอยู่กับภควาน ที่ใดมีการถกเถียง หัวฟัดหัวเหวี่ยง เป็นตายร้ายดี แต่หากยกคำสอนของพระผู้เป็นเจ้ามาสาธยาย อ้างเอย ก็ทำให้สิ่งที่เร่าร้อนสงบร่มเย็นลงได้ง่ายๆ เหมือนกัน

     Diamond (วชิโร) อินเดียเป็นเมืองเพชรเมืองพลอย ดูจากเครื่องแต่งตัวห้อยระย้าประดับหน้าตา ต่างหูถึงข้อเท้า ทั่วโลกรู้ว่าเพชรเม็ดใหญ่ที่ใครสู้ไม่ได้มาจากอินเดีย โคอีนูห์ เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ขณะนี้ประดับบนมงกุฏของควีนประเทศอังกฤษ

     Director (นายโก) อินเดียชอบเจ้ากี้เจ้าการ ชอบอำนวยการ เป็นผู้นำ ที่น่าสนใจคืออินเดียมีผู้อำนวยการ ผู้กำกับการแสดงที่เลื่องลือ มีโรงถ่ายหนังบอลลี่วู้ด จะเป็นรองก็เฉพาะฮอลลีวู้ดเท่านั้น แปลกแต่จริงว่าอินเดียสามารถผลิตหนังได้ระดับสูง แต่พอมีงานมีการตามหมู่บ้านชนบท กลับไม่มีหนังกลางแปลงมาแสดงกลางคืน

     Discount (ปริตฺตกรณํ) มาอินเดียทุกอย่างไม่แน่นอน การซื้อสิ่งของเจรจาต่อรองกันได้ แต่คงไม่ถึงขั้นช็อปปิ้งในเมืองจีน เมืองนี้ทำสิ่งใด ออกกฏอันใด มิได้ผูกปั้นพันมือให้อยู่ในอักษรทุกเรื่อง มีการลดหย่อนผ่อนปรนให้คนคุยกับคน ไม่ใช่กฏคุยกับกฏ เจตนาในสิ่งนั้นๆ น่าจะเป็นวิธีการลดความร้อนของมนุษย์ลงได้ หลีกทางประจัญหน้า ทุกอย่างลดหย่อนผ่อนราคา ตกลงเจรจากันเอาเอง แม้แต่เทวดายังสามารถขอลดหย่อนผ่อนโทษ ต่อรองสวรรค์ชั้นที่ตนชอบได

     Daily (กิจจํ) อินเดียเป็นเมืองที่มีการบูชารายวัน ทำอะไรมักจะเป็นกิจต่อเนื่อง แม้แต่การกินหมาก ดื่มการัมจาย (ชานมร้อน) เข้าพิธีตามเทวาลัย เป็นงานประจำของชีวิต เทศกาลไหว้พระเจ้า มีกันทุกเดือน ทุกรัฐ งานแต่งงานมีฤกษ์ผานาที เป็นกิจแน่นอน ไม่ใช่ใครจะแต่งเดือนไหนก็ทำได้ ใครจะทำอะไร ก็มีที่มาที่ไป ขนมก็มีทุกเดือนต่างกัน กินตามบูชาพระเจ้า ไม่ใช่กินตามความอยาก

     Dance (นจฺจคีต) เชื่อว่าทุกคนที่มาอินเดีย คงจะเคยประทับใจการร่ายรำทำฟ้อน การแสดงลีลาร้องรำ เป็นที่เลื่องลือว่าประเทศนี้มีศิลปะในสาขาวิชานี้มานาน เพราะศิลปินที่ผลิตศิลปะเขามีความชำนาญ ภาพยนตร์เรื่องใด หากไม่มีการร่ายรำทำฟ้อน หนังเรื่องนั้นจะถึงอวสานก่อนฉาย ศิลปินนักแสดงจึงเป็นผู้มีเกียรติ ใครดูใครเห็นก็ชื่นชอบ ผู้ไม่ชื่นชอบก็ไม่ควรดูเท่านั้นเอง

     Democracy (อธิปเตยยํ) อินเดียเป็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดในโลก มีการกระจายอำนาจการปกครองได้ถึงรากหญ้าอย่างชัดเจน มีอำนาจมอบหมายไปทั่ว ไม่ว่าสิงสาราสัตว์ แม่น้ำ ต้นไม้ สายลม แสงแดแ มีความเป็นใหญ่ในตนทั้งนั้น เขากระจายการปกครองผ่านวรรณกรรม เขาให้การศึกษาผ่านวรรณคดี เขาให้การพัฒนาผ่านศาสนา และเขาให้ความเป็นใหญ่ผ่านธรรมชาติ โดยมีพระผู้เป็นเจ้าเป็นเจ้าของเรื่อง

     Delay (ทนฺชา) เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความชักช้า ไม่ว่าจะเป็นรถไฟก็ช้า รถยนต์ก็ติด ขายของก็ช้า ทอนเงินก็ช้า ยืดยาดอืดอาดยักท่าชักช้าไปหมด ใหม่ ๆ คงรำคาญเหมือนกัน เพราะเราอยู่ในประเทศที่ยกความ เร็วให้เป็นความดี อะไรเร็ว ๆ ดีหมด แต่อินเดียกลับนิยมว่า อะไรดีๆ ต้องมีความช้าไว้ เพราะความเร็วมีอันตราย ความชักช้าคือสิ่งแน่นอน สิ่งที่ช้าแล้วดี คือความรัก ศิลปะ ธรรมะ การใช้ทรัพย์ และการขึ้นภูเขา

     Dirty (อสุภํ) สิ่งที่ถือเป็นอุปสรรคของการเดินทางมาอินเดียอันดับแรกเลย ก็คือ ความสกปรก ไม่ว่าจะเข้าห้องน้ำ ที่ทานอาหาร ที่ปลงศพ เผาศพ ผีลอยน้ำ สารพัดสารพัน คนกลัวกันมาก แต่คิดดูให้ดี สิ่งเหล่านี้แหละเป็นเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวถามหา

     Difficult (ทุคฺคตํ) ความทุกข์ยากลำบากเห็นจะเป็นเงื่อนไขต่อรองของผู้เดินทางมาอินเดีย อยากจะบอกว่าที่นี่เป็นตลาดความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ มีสารพัดรูปแบบให้รู้เห็น มีทุกแหล่งแห่งที่ให้สัมผัส แต่ความทุกข์เหล่านี้ไม่ถึงขั้นอันตราย เพราะพระอริยบุคคลในครั้งพุทธกาลอาศัยความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ที่จะนำพสไปสู่ภูมิอรหันต์ ไปอินเดีย ไปสนุกกับความทุกข์ดีกว่าไปรับทุกข์จากความสนุก

ที่มาของแหล่งข้อมูล

 หนังสือ อินไอเดีย (พระราชรัตนรังษี วีรยุทธ วีรยุทโธ)