วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความหมายขยายความของคำว่า India.....I & D



ความหมายขยายความของคำว่า India.....I & D

     จะยกคำว่า IN มาก่อน คำนี้น่าจะมาจากนามขององค์อินทรา ซึ่งเป็นเทวนายก คือผู้นำของเทวดาบนสวรรค์ชั้นฟ้า ผู้เป็นต้นเค้าของคำว่า “อินเดีย” จะแยกออกเป็นไอ กับ เอ็น

     ไอมาจากไอแอม I am แปลว่าข้าพเจ้า คือเขาเป็นข้าของพระเจ้า เป็นตัวของตัวเอง แม้จะเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่นมาบ้าง แต่ไม่ยอมเป็นข้าของพระเจ้าศาสนาใด คราวตกเป็นเมืองขึ้นก็ไม่เสียขวัญ กลับมุ่งหน้าพัฒนาศาสนาทั้งหลายในประเทศขึ้นป้องกันตัวเองได้ อย่างน่าชื่นชม เขาสร้างพระเจ้าให้มีฤทธิรอน เหมือนว่าเป็นทหารศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า มาสู้กับพวกนักล่าอานานิคมจนถอยร่นตกขอบมหาสมุทรไปต่อหน้าต่อตา แล้วใช้พลังความเชื่อจากศาสนาสู่การพัฒนาสรรพสิ่งอย่างได้ผล

     อักษรเอ็น ขอขยายความหมายของตัว N คือ I สามตัวรวมกันอยู่เป็นตรีมูรติ โดยมี I สองตัวยืนตรง อีกหนึ่ง I โค้งเชื่อมกลาง ไอสมานฉํนท์กับไอ ไอจึงเป็นไอที่ยิ่งใหญ่ เรียกว่าไอเก่งคนเดียวไม่ได้ ต้องมีพรรคมีพวก ไอสามตัวจะยืนตรงเป็นเสาไฟฟ้าก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวจะเป็นไอหัวตั้งอยู่โดดๆ แบกอัตตาตัวใครตัวมัน เรียกว่าต่างไอต่างใหญ่ ดังนั้นไอตัวหนึ่งต้องยอมลดตัวตนลงเชื่อมกลาง จึงกลายเป็นสามไอสามัคคีขึ้นมาทันที ไอต้องรู้จักยอมกันบ้าง จึงจะครองความยิ่งใหญ่เนิ่นนาน ไอเป็นสื่อกลางประสานสามพลัง ให้เป็นหนึ่งเดียวเรียกว่าไอตรีมูรติ

เพื่อให้เกิดมุมสนุกกับสาระ ที่มีอยู่ในคำว่า India ลองตามไปดูความหมายกันเลย


     Insight (วิปสฺสนา) ดูข้างในให้แจ้ง มองส่วนลึกให้ถึงจิตตวิญญาณ ชาวอินเดียชอบดูข้างใน ดูแลภายในประเทศของตน ประชากรของตัว ดูแลสังคมด้วยตาที่แหลมคม จนเข้าใจตัวเองอย่างแจ่มชัด แม้ไปศึกษาถึงเมืองนอกเมืองนา พอจบก็กลับมาช่วยเสริมเติมให้มาตุภูมิแข็งแรง ข้างในเข้าใจศาสนา นำมาช่วยกันทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ดูนอกให้เห็นชัด มองในให้เห็นจริง ดูไกลมองใกล้ มองไกลๆ ทำใกล้ๆ มีแต่ได้ไม่มีเสีย

     Intelligent (ปณฺฑิโต, โกวิโท) บัณฑิตคือผู้ฉลาด ฉลาดได้เพราะเป็นผู้ทำเอง รู้จักเหตุ รู้จักผล ปรับของคนอื่นมาเป็นของตนได้ ในอินเดีย บัณฑิตเป็นพวกวรรณะพราหมณ์ ออกเสียงปานเด มีมากพอๆ กับวรรณะอื่นๆ อีกสาม ต้องยอมรับว่าอินเดียเขามีความฉลาดตามแบบของเขาเอง มีความฉลาดพอเพียงแก่การใช้สอยภายใน ไม่จำเป็นต้องนำเข้าความฉลาดจากต่างชาติให้รุงรัง

     Individual (ปจฺเจกปุคฺคโล) อินเดียมีเอกลักษณ์เฉพาะตน มีความเด็ดเดี่ยวเชี่ยวชาญในงาน ของตน ไม่ว่าหน้าตาคน เสื้อผ้าที่สวมใส่ บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ล้วนแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน ถนนหนทางการบ้านการเมือง วิถีชีวิต สิ่งแวดล้อม อินเดียมีเอกราชได้เพราะเอกลักษณ์ ไม่พัฒนาเอกบุรุษ จนเสียเอกลักษณ์ของเหล่ากอ อนุรักษ์กับพัฒนาอยู่รวมกันอย่างลงตัว อินเดียคืออินเดีย ใครจะเหมือนอินเดียก็ไม่ว่า แต่อินเดียจะต้องเหมือนอินเดียเท่านั้น

     Interfere (มาโร) อินเดียเป็นดินแดนที่มีทั้งมารและเทพ มารเมืองนี้ก็เก่ง เทพเมืองนี้ก็ยอด อินเดียจึงมีตัวอย่างการต่อสู้ทุกรูปแบบไว้ให้ศึกษา ทุกศาสนามีทั้งเทพและมาร เกิดการต่อสู้กันเมื่อใด นั่นหมายความว่าทั้งสองฝ่ายกำลังทำงานตามวิชาถนัดของตน ใครชนะก็ได้เป็นใหญ่ เป็นมหาบุรุษ เป็นศาสดา ดูแต่พระพุทธเจ้าของเรา วัสดีมารก็ไม่ยอมเว้นให้ ในวันตรัสรู้ซึ่งเป็นวันมงคลแท้ๆ ยังไปท้าให้เกิดการสู้รบตบมือ ดีว่าพระพุทธเจ้าของเรามีวิชาของพระองค์คือบารมี ๑๐ ทิศ มารก็มีวิชามาร ต่างผู้ต่างผจญประจัญบาน จนพระพุทธเจ้าได้รับชัยชนะตามพุทธวิธี ไปอินเดียจะมีมารเล็กๆ น้อยๆ มารบกวนเราบ้าง เช่นขอทาน ขายของ ไม่สบอารมณ์ ขัดขวาง ทดสอบอารมณ์ผู้แสวงบุญ

     International (นานปฺปเทโส) อินเดียคิดการใหญ่ ทุกอย่างต้องไกล โกอินเตอร์ทั้งนั้น การขยายอำนาจด้วยกำลังพล ใช้ศาสนานำ พาคนออกนอกประเทศ ให้ศาสนาครองใจนานาชาติ มีสินค้าอินเตอร์เข้ามาก๊อปปี้ได้หมด สมัยพระเจ้าอโศกฯ ส่งพระสงฆ์ที่เป็นธรรมฑูตเก้าสาย ขยายอาณาจักรคุมพื้นที่โลกด้วยศาสนา และโกอินเตอร์อย่างสง่างาม สร้างความเชื่อมั่นทางศรัทธา จนสหประชาชาติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสากล ให้การสรรเสริญการประสูติ การตรัสรู้ ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า เป็นชีวิตตัวอย่างที่มนุษย์เดินตามได้อย่างมั่นใจ และวิสาขบูชาเป็นวันหยุดสากล

     Interview (ปุจฺฉา – วิสชฺชนา) อินเดียโดยลักษณะของคนเมืองนี้ชอบถาม ชอบตอบ ชอบพูด ชอบสนทนา เจรจากันกลางถนน จอดรถคุยกันเหมือนไม่เคยเจอกันมาแรมปี แม้ในครั้งพุทธกาล คำสอนในพระสูตรต่าง ๆ ก็เกิดจากลักษณะนิสัยของคนอยากรู้อยากเห็น และพวกชอบถามชอบตอบนี่เอง

     Invite (นิมนฺเตติ, อาราธนํ) อินเดียเป็นประเทศที่ชอบเชื้อเชิญ ชักชวนผู้คนเข้าประเทศของตน มาดูของดี ๆ ที่มีอยู่มากพอเพียง ทั้งอดีตที่ยาวนาน ทั้งอนาคตที่ไกลโพ้น นำสรรพสิ่งระหว่างอนาคตกับอดีตมาวางเรียงให้ดูกันเต็มหูเต็มตา แม้ในหลักธรรมทางพุทธศาสนายังเปิดโอกาสชักชวนให้คนมาดูว่า สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถที่คนเขลาหมกอยู่ ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ ยิ่งเราไปย่านการท่องเที่ยว ทั้งลูกเล็กเด็กแดงช่วยกันอาราธนาไปซื้อข้าวซื้อของ สนุกกันไปทั้งวัน

     Income (ธนา – กมฺมํ) คนอินเดียขยันทำงาน ทุกอย่างเป็นรายได้ อะไรไม่มีกำไรแขกไม่ทำ ค้าเก่ง ขายเก่ง เก็บดอกเบี้ยเก่ง หาเงินเก่ง



D ในความหมาย

     Design (วิธานํ) อินเดียเป็นประเทศที่ต้องยอมรับว่า มีพรสวรรค์ในการออกแบบ ไม่ว่าจีวรพระ เทวาลัย อชันตา ทัชมาฮาล สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ล้วนนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศทั้งนั้น ลักษณะคนของเขาชอบเป็นเจ้าแผนการ เจ้าแบบเจ้าเรือน เจ้าบทเจ้ากลอน ชอบตกแต่งทั้งคน สัตว์ สิ่งของ ให้งามหยดย้อย

     Diplomat (อคคฺราชฑุต, ทูโต) ต้องยอมรับง่าอินเดียมีความเป็นนักการฑูตสูง แหล่งกำเนิดนักการฑูตลิ้นทองมานาน การเจรจามีชั้นมีเชิง เรียกว่าฑูตแขกจะไปแลกหมัดไม่ได้ง่าย ๆ แม้พระพุทธองค์ทรงตั้งฑูตของพระองค์ก่อน คือพระธรรมฑูต ๖๐ รูป ส่งออกประกาศศาสนา สมัยจักรพรรดิอโศก ส่งสมณะฑูต ๙ สาย ทำให้ทั่วโลกส่งเครื่องสักการะด้วยมโนน้อม พระสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาไม่ว่านิกายหรือจากประเทศอะไร เหมือนทูตทางวัฒนธรรมของประเทศอินเดียทั้งสิ้น

     Double (ทฺวิตา) คนไปอินเดียต้องรู้ไว้เลยว่า คนของเขาชอบย้ำคิด ย้ำทำ ทำสิ่งใดต้องสองเท่าไว้ก่อน แม้รับไตรสรณคมณ์ ยังต้องย้ำถึงสามครั้ง การเดินทางในประเทศนี้จะถามทางกับใคร ต้องมีสองหรือสามคน จึงจะพอเชื่อถือได้ แม้กระนั้นก็ไม่ควรประมาท แขกขอทานให้ไปแล้วยังมีหน้ามาขออีก นั่นแหละการย้ำทำ ย้ำขอ

     Donor (ทานปติ, ทายโก) อินเดียมีความเป็นต้นทุนในการเป็นผู้ให้สูงมาก จะเห็นได้จากขอทานเต็มบ้านเต็มเมือง ถ้าไม่มีคนให้ชนิดล้นบ้านล้นเมือง ขอทานจะอยู่ได้อย่างไร ลักษณะคนมีทั้งนายทุน นายห้าง ขนาดว่าตั้งศาสนาเล็กศาสนาน้อยส่งออกไปทั่วโลก แล้วส่งคนออกไปทำหน้าที่เป็นมัคนายกให้ทั่วโลก

     Dream (นิมิตฺตํ – จินฺตา) ต้องยอมรับว่าคนอินเดียที่ยิ่งใหญ่ได้เพราะความเป็นคนชอบฝัน ชอบจินตนาการ สร้างวรรณกรรมระดับมหากาพย์ มีนิทานมากมาย ทำให้คนของเขาคิดภาพองค์รวมเป็นตั้งแต่เยาว์วัย จินตนาการในเรื่องใด ๆเราก็รู้ว่าเป็นความฝัน แต่ก็ชวนเชื่อว่ามันจะต้องเป็นความจริงในวันข้างหน้า

     Develop (ผรณํ) อินเดียเป็นประเทศพัฒนาที่มีแบบฉบับเป็นของตัวเอง ชอบบุกเบิกเปิดตลาดผ้า บุกถึงเมืองจีน เมืองฝรั่ง ขยายลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเร็ว พัฒนาตามกำลังคนของคนอย่างได้ผล ทันสมัย แต่ไม่พัฒนาตามเขา ดูการพัฒนาแบบเดินหน้า ถอยหลัง ดูนักพัฒนาแบบอนุรักษ์ และการอนุรักษ์การพัฒนา

     Danger (ภยํ) ไปอินเดียผู้คนมักจะตั้งความกลัว ไว้เป็นเส้นนำทาง กลัวจะมีภัยอันตราย ขึ้นรถไฟจะไม่ปลอดภัย ถึงที่ไหนจะรู้ได้ยังไง จะลงสถานีไหน มันกลัวไปหมด ไปทางรถยนต์ก็วิ่งน่ากลัวจริงๆ กลัวจะชนกัน แต่ก็ไม่ชน บางครั้งคิดว่าจะต้องไม่ชน แต่ยังชนจนได้ นั่งสามล้อก็กลัวตก เดินถนนก็กลัวชนคน ชนวัว ชนควาย มันกลัวไปหมด แต่ที่สุดความกลัวก็หมด เมื่อเราถึงที่ เห็นกับตา ฟังกับหู ดูอย่างชัดเจน

     Deposit (อุจฺจโย) อินเดียเป็นประเทศที่มีของดี ผู้มาก็ประทับใจ ผู้ไปก็ประทับตา มีของฝากความคิด มีของฝากนักท่องเที่ยว มีบุญฝากนักแสวงบุญ มีความประทับใจฝากกลับไปทุกคน จะทำสิ่งใดในเมืองนี้ต้องมีมัดจำทุกเรื่อง ขอมัดจำทุกอย่าง

     Devotee (จาคํ – อุทฺทิสํ) บ้านนี้ เมืองนี้ต้องยอมรับว่า เป็นมาตราฐานเลยว่าเขาสร้างคนระดับสาวก คือผู้เสียสละอุทิศตน ทั้งทางศาสนาและการเมืองและเรื่องอื่น ๆ มีผู้ยอมเป็นยอมตายให้กับคนที่ตนเองยอมรับ ให้กับศาสนาที่ตนเองนับถืออย่างไม่หวงเนื้อหวงตัว ดูจากการชุมนุมทางศาสนาที่มีมากที่สุดในโลก น่าสนใจมากว่าเขาสร้างคนอย่างไร จึงมีคนประเภททุ่มเทอุทิศตน เพื่อสิ่งที่ตนรักมากขนาดนี้ มีที่สวดมนต์ทุกบ้านแม้ร้านขายของเล็ก ๆ

     Departure (จรติ) ประเทศนี้เขาชอบเป็นชีวิตจิตใจที่จะจาริกออกจากบ้านเรือนที่อยู่อาศัย พาลูกพาเมียนุ่งห่มหนังเสือหรือ ใส่ผ้าเหลืองเดินเท้า หาบคอนไปยังแม่น้ำคงคา การยาตราแสวงบุญก็ดี การเดินธุดงค์ก็ดี วันบูชาออกมาเดินกันตามถนน ตัวอย่างเช่นนี้มีให้เห็นเป็นธรรมดา ในสิ่งที่ตนชอบใจ

     Degree (ปริญฺญา) ต้องยกมือท่วมหัวขอบคุณประเทศนี้ เพราะมีมหาวิทยาลัยให้คนไทยมาเรียนปริญญา แต่ก่อนพระสงฆ์ยาตราไปเรียนที่อื่นกับเขาไม่สดวก อินเดียนี้เองเปิดทางให้พระไทยจากมหาวิทยาลัยสงฆ์มาศึกษาจนได้ปริญญาสูง ๆ

     Doctor (เวชฺโช) ที่อินเดียเป็นดินแดงที่มีหมอ มากมาย ทั้งหมอแผนปัจจุบัน หมอแผนโบราณ หมอดู หมอผี มีให้ไม่ขาดตลาด รักษากันเองแบบง่าย ๆ นั่งถอนฟันข้างถนนก็ได้ คนไข้ถือถุงน้ำเกลือไปหาที่ห้อยเองก็มี ยารักษาโรคก็หาได้ง่าย แต่จะหายหรือเปล่าไม่รับรอง ยิ่งหมอรักษาโรคทางจิตวิญญาณ หมอเมืองนี้มีชื่อก้องโลก

     Discover (วิวรณํ) โดยสัญชาตญาณของคนอินเดีย มีพื้นฐานดั้งเดิมคือชอบค้นคว้า แสวงหา ดูจากมีฤาษี มุนี นักปรัชญา ค้นหาสัจจธรรม ภูเขาทั้งภูเขา แม่น้ำทั้งสาย ทำเป็นที่วิจัยวิชาธรรมชาติของเหล่าดาบส ฤาษี คนประเภททิ้งบ้านทิ้งเรือน ออกป่าออกเขาไปแสวงหาทางวิโมกข์ยังมีมาก

     Depend on (วาสนา) อยู่ในอินเดียนานๆ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายหน จะรู้ว่าคนอยู่กับคนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาเป็นนักคิดนักสอน ถกเถียง คัดง้างกันอย่างรุนแรง แต่ข้อที่น่าสรรเสริญคือมีจุดสต๊อป (stop) ในทุกสิ่ง คือสุดแต่พระเจ้า ขึ้นอยู่กับภควาน ที่ใดมีการถกเถียง หัวฟัดหัวเหวี่ยง เป็นตายร้ายดี แต่หากยกคำสอนของพระผู้เป็นเจ้ามาสาธยาย อ้างเอย ก็ทำให้สิ่งที่เร่าร้อนสงบร่มเย็นลงได้ง่ายๆ เหมือนกัน

     Diamond (วชิโร) อินเดียเป็นเมืองเพชรเมืองพลอย ดูจากเครื่องแต่งตัวห้อยระย้าประดับหน้าตา ต่างหูถึงข้อเท้า ทั่วโลกรู้ว่าเพชรเม็ดใหญ่ที่ใครสู้ไม่ได้มาจากอินเดีย โคอีนูห์ เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ขณะนี้ประดับบนมงกุฏของควีนประเทศอังกฤษ

     Director (นายโก) อินเดียชอบเจ้ากี้เจ้าการ ชอบอำนวยการ เป็นผู้นำ ที่น่าสนใจคืออินเดียมีผู้อำนวยการ ผู้กำกับการแสดงที่เลื่องลือ มีโรงถ่ายหนังบอลลี่วู้ด จะเป็นรองก็เฉพาะฮอลลีวู้ดเท่านั้น แปลกแต่จริงว่าอินเดียสามารถผลิตหนังได้ระดับสูง แต่พอมีงานมีการตามหมู่บ้านชนบท กลับไม่มีหนังกลางแปลงมาแสดงกลางคืน

     Discount (ปริตฺตกรณํ) มาอินเดียทุกอย่างไม่แน่นอน การซื้อสิ่งของเจรจาต่อรองกันได้ แต่คงไม่ถึงขั้นช็อปปิ้งในเมืองจีน เมืองนี้ทำสิ่งใด ออกกฏอันใด มิได้ผูกปั้นพันมือให้อยู่ในอักษรทุกเรื่อง มีการลดหย่อนผ่อนปรนให้คนคุยกับคน ไม่ใช่กฏคุยกับกฏ เจตนาในสิ่งนั้นๆ น่าจะเป็นวิธีการลดความร้อนของมนุษย์ลงได้ หลีกทางประจัญหน้า ทุกอย่างลดหย่อนผ่อนราคา ตกลงเจรจากันเอาเอง แม้แต่เทวดายังสามารถขอลดหย่อนผ่อนโทษ ต่อรองสวรรค์ชั้นที่ตนชอบได

     Daily (กิจจํ) อินเดียเป็นเมืองที่มีการบูชารายวัน ทำอะไรมักจะเป็นกิจต่อเนื่อง แม้แต่การกินหมาก ดื่มการัมจาย (ชานมร้อน) เข้าพิธีตามเทวาลัย เป็นงานประจำของชีวิต เทศกาลไหว้พระเจ้า มีกันทุกเดือน ทุกรัฐ งานแต่งงานมีฤกษ์ผานาที เป็นกิจแน่นอน ไม่ใช่ใครจะแต่งเดือนไหนก็ทำได้ ใครจะทำอะไร ก็มีที่มาที่ไป ขนมก็มีทุกเดือนต่างกัน กินตามบูชาพระเจ้า ไม่ใช่กินตามความอยาก

     Dance (นจฺจคีต) เชื่อว่าทุกคนที่มาอินเดีย คงจะเคยประทับใจการร่ายรำทำฟ้อน การแสดงลีลาร้องรำ เป็นที่เลื่องลือว่าประเทศนี้มีศิลปะในสาขาวิชานี้มานาน เพราะศิลปินที่ผลิตศิลปะเขามีความชำนาญ ภาพยนตร์เรื่องใด หากไม่มีการร่ายรำทำฟ้อน หนังเรื่องนั้นจะถึงอวสานก่อนฉาย ศิลปินนักแสดงจึงเป็นผู้มีเกียรติ ใครดูใครเห็นก็ชื่นชอบ ผู้ไม่ชื่นชอบก็ไม่ควรดูเท่านั้นเอง

     Democracy (อธิปเตยยํ) อินเดียเป็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดในโลก มีการกระจายอำนาจการปกครองได้ถึงรากหญ้าอย่างชัดเจน มีอำนาจมอบหมายไปทั่ว ไม่ว่าสิงสาราสัตว์ แม่น้ำ ต้นไม้ สายลม แสงแดแ มีความเป็นใหญ่ในตนทั้งนั้น เขากระจายการปกครองผ่านวรรณกรรม เขาให้การศึกษาผ่านวรรณคดี เขาให้การพัฒนาผ่านศาสนา และเขาให้ความเป็นใหญ่ผ่านธรรมชาติ โดยมีพระผู้เป็นเจ้าเป็นเจ้าของเรื่อง

     Delay (ทนฺชา) เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความชักช้า ไม่ว่าจะเป็นรถไฟก็ช้า รถยนต์ก็ติด ขายของก็ช้า ทอนเงินก็ช้า ยืดยาดอืดอาดยักท่าชักช้าไปหมด ใหม่ ๆ คงรำคาญเหมือนกัน เพราะเราอยู่ในประเทศที่ยกความ เร็วให้เป็นความดี อะไรเร็ว ๆ ดีหมด แต่อินเดียกลับนิยมว่า อะไรดีๆ ต้องมีความช้าไว้ เพราะความเร็วมีอันตราย ความชักช้าคือสิ่งแน่นอน สิ่งที่ช้าแล้วดี คือความรัก ศิลปะ ธรรมะ การใช้ทรัพย์ และการขึ้นภูเขา

     Dirty (อสุภํ) สิ่งที่ถือเป็นอุปสรรคของการเดินทางมาอินเดียอันดับแรกเลย ก็คือ ความสกปรก ไม่ว่าจะเข้าห้องน้ำ ที่ทานอาหาร ที่ปลงศพ เผาศพ ผีลอยน้ำ สารพัดสารพัน คนกลัวกันมาก แต่คิดดูให้ดี สิ่งเหล่านี้แหละเป็นเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวถามหา

     Difficult (ทุคฺคตํ) ความทุกข์ยากลำบากเห็นจะเป็นเงื่อนไขต่อรองของผู้เดินทางมาอินเดีย อยากจะบอกว่าที่นี่เป็นตลาดความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ มีสารพัดรูปแบบให้รู้เห็น มีทุกแหล่งแห่งที่ให้สัมผัส แต่ความทุกข์เหล่านี้ไม่ถึงขั้นอันตราย เพราะพระอริยบุคคลในครั้งพุทธกาลอาศัยความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ที่จะนำพสไปสู่ภูมิอรหันต์ ไปอินเดีย ไปสนุกกับความทุกข์ดีกว่าไปรับทุกข์จากความสนุก

ที่มาของแหล่งข้อมูล

 หนังสือ อินไอเดีย (พระราชรัตนรังษี วีรยุทธ วีรยุทโธ)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น